วันเสาร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ความเป็นอิสระทางการเงิน.. คุณอยากได้ไหม ?



สำหรับคุณผู้อ่านที่เป็น.. นักลงทุนรุ่นใหม่ หรือเป็น..นักลงทุนมือใหม่ ผมมีตัวอย่างที่เกี่ยวกับการแสวงหาความเป็นอิสระทางการเงินของคนรุ่นใหม่หรือมือใหม่..มาฝากครับ ผมเพิ่งรู้จักกับน้องคนหนึ่งที่ชื่อว่า คุณณัฐชาต คำศิริตระกูล มีชื่อเล่นว่า กานต์

กานต์ เป็นเพื่อนรุ่นน้องวิศวะของผม เขาจบมัธยมปลายที่ขอนแก่นและจบปริญญาโทวิศวะโยธา จากมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยพื้นเพฐานะทางครอบครัวจะพอมีพอกิน..ไม่ได้ร่ำรวย แต่พอมีกำลังที่จะส่งลูกชายให้เรียนต่อจนจบปริญญาโทได้ กานต์ได้ทำงานในบริษัทวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุดและดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย หลังจากทำงานไปได้เพียงปีเดียว เขาก็นำเงินที่ประหยัดได้ทั้งหมดในการทำงานปีแรกประมาณ 2 แสนบาทไปลงทุนซื้อหุ้น แต่ทุกวันนี้หลังจากที่กานต์ทำงานไปได้ประมาณ 8 ปี เขาได้ลาออกจากงานไปแล้ว และได้เงินมาหลายสิบล้านบาท ซึ่งเป็นเงินที่เกิดจากการทำงานและนำไปลงทุนตลอดเวลา ชีวิตของกานต์จึงเป็นชีวิตที่น่าสนใจ ซึ่งผมอยากจะถ่ายทอดอุปนิสัยที่ดีๆของเขา..ในมุมมองของผม มาให้คุณผู้อ่านได้อ่านดังนี้ครับ



หนึ่ง ความอยากรวยเร็ว
อาจกล่าวได้ว่า ครอบครัวของกานต์มีกำลังที่จะส่งให้ลูกชายเรียนจบเท่านั้น แต่ไม่สามารถให้เงินทุนแก่ลูกชายเพื่อไปประกอบกิจการได้ ดังนั้นชีวิตของกานต์จึงเริ่มต้นจากศูนย์ แต่มีวิชาความรู้เป็นสะพานที่จะไปแสวงหาความเจริญก้าวหน้าต่อไปได้

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Moneyball เกมล้มยักษ์ บทเรียนการลงทุนผ่านสนามเบสบอล (1)


ก่อนอื่นของบอกผู้อ่านไว้ก่อนเลยว่าถ้าใครยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ ผมแนะนำให้เลิกอ่านบทความของผมเดี๋ยวนี้ รีบไปหา DVD หนังเรื่องนี้มาดูแล้วค่อยกลับมาอ่านบทความของผมต่อ ถ้าคุณยังไม่อยาก...เสียอรรถรสจากดูหนังที่ผมคิดว่ามีสาระเกี่ยวกับการลงทุนมากที่สุดเท่าที่เคยดูมา ถ้าท่านเคยดูแล้ว หรือคิดว่าจะไม่ดูแน่ๆก็เชิญอ่านต่อไปได้ครับ

Moneyball เป็นหนังที่สร้างมาจากนิยายเรื่อง Moneyball: The Art of Winning an Unfair Game ซึ่งเขียนเกี่ยวกับชีวประวัติจริงๆของ Billy Beane ผู้จัดการทั่วไปของทีมเบสบอล Oakland Athletics ในช่วงปี 2002 หลังจากทีม Athletics พ่ายแพ้แก่ New York Yankees ในปี 2001 Beane ต้องทนเห็นซุปเปอร์สตาร์ในทีมทยอยเดินจากทีมไปอยู่กับทีมที่เงินหนากว่า ด้วยงบประมาณที่มีอยู่จำกัด การจะหาผู้เล่นระดับท๊อปมาแทนที่ก็เป็นไปไม่ได้ แค่การรักษาผู้เล่นเก่าก็ยากแล้ว Beane ไม่สามารถเล่นตามเกมของทีมเงินหนาอย่าง Yankees ได้จึงจำเป็นต้องหาวิธีการทำทีมใหม่เพื่อสู้กับทีมที่มีงบประมาณมากกว่า 3 เท่า (41 ล้านเหรียญกับ 125 ล้านเหรียญ)

Peter Brand นักเศรษฐศาสตร์หนุ่มจบใหม่เสนอวิธีการจัดหาผู้เล่นที่เหมาะสมเข้าทีมในรูปแบบที่วงการเบสบอลไม่เคยเห็นมาก่อน โดยเสนอให้มองข้ามรูปลักษณ์ที่เห็นอยู่ภายนอก ด้วยการนำเอาสถิติของผู้เล่นแต่ละคนในด้านต่างๆมาพิจารณา แล้วเลือกผู้เล่นจากสิ่งที่ทีมอยากได้จากเขาเหล่านั้นจริงๆ

วิธีการทั่วๆไปที่แมวมองเบสบอลสมัยนั้นใช้จะเป็นการพิจารณาแบบผิวเผิน เช่น ดูจากการทำแต้ม สถิติการขว้าง หรือสถิติการตี รวมถึงรูปลักษณ์ภายนอก เช่น ความเป็นดาราดึงดูดแฟนเบสบอลเข้าสนาม ดูหน่วยก้าน หรือกระทั่งดูแฟน (ถ้านักเบสบอลคนไหนแฟนสวย แสดงว่ามีความมั่นใจสูงถึงกล้าจีบคนสวย) ผลก็คือแมวมองเหล่านี้ก็มันจะมาสนใจนักเบสบอลคนเดียวกัน ส่งผลให้ค่าตัวของนักเบสบอลเหล่านั้นพุ่งสูงเกินจริง ทั้งๆที่ทีมอาจไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่า นี้ก็ได้ ทีมเบสบอลมี Pitcher ขว้างได้ครั้งละคน มี Butter ตีได้ครั้งละคน คนทำแต้มได้ไม่ใช้คนตีโดน หรือขว้างดี แต่เป็นคนที่ทำเบสได้มากที่สุดต่างหาก

Brand นำเอาสถิติต่างๆมาพิจารณาอย่างละเอียด แล้วเลือกผู้เล่นที่ทำได้ดีที่สุดในสิ่งที่แผนการเล่นของทีมต้องการ เขาไม่ได้เลือกนักเบสบอลที่ทำแต้มได้มากที่สุด แต่เขาเลือกคนที่ทำเบสได้มากที่สุด เขาไม่ได้เลือกคนที่ตีแม่นที่สุด แต่เขาเลือกคนที่เอาฟาวล์จากคู่แข่งได้มากที่สุด เขาไม่ได้เลือกคนที่ขว้างแรงที่สุด แต่เขาเลือกคนที่ท่าขว้างประหลาดที่สุดจนคู่แข่งจับทางไม่ได้ ทำให้ทีมของ Beane เต็มไปด้วยนักเบสบอลที่เข้าข่ายประหลาดแต่ค่าตัวถูก เช่น แก่เกินแกง หัวเข่าไม่สมบูรณ์ หรืออ้วนลงพุง เป็นต้น ในจำนวนนี้บางคนต้นสังกัดเดิมถึงกับยอมออกค่าเหนื่อยช่วยเพื่อผลักไสให้ไปพ้นๆทีมเสียด้วยซ้ำไป


ในช่วงต้นฤดูกาล 2002 ผลงานของทีมประหลาดของ Beane ย่ำแย่ถึงขีดสุด พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่องลงไปกองบ๊วยของ Major League นั่นเพราะโค้ชของทีมไม่ได้ศรัทธาในแนวทางของ Beane จึงยังจัดผู้เล่นลงสนามแบบเดิมๆ ซึ่งไม่สอดคล้องกับผู้เล่นที่ถูกดึงเข้ามาเพื่อให้เล่นตามแผนการเล่นของ Beane และ Beane เองก็ไม่สามารถก้าวก่ายอำนาจของโค้ชในการจัดทีมลงสนามได้ จนในที่สุด Beane ตัดสินใจล้างบางผู้เล่นในสไตล์แบบดั้งเดิมเขาทำกระทั่งปล่อย Carlos Pena ซึ่งเป็นซุปเปอร์สตาร์คนสุดท้ายของทีมออกไปเพื่อกดดันให้โค้ชจัดทีมลงสนามตามปรัชญาของเขา

วันพุธที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ชิณณ์" ผู้ชนะหุ้นสิบทิศ กับเทคนิคการลงทุนที่ไม่ธรรมดา




วันนี้พาทุกคนมารู้จักกับเซียนหุ้น ฉายา ผู้ชนะหุ้นสิบทิศ "ชิณณ์ กิตติภานุวัฒน์" กับเทคนิคการลงทุนที่ไม่ธรรมดา......

จากเด็กที่ครอบครัวประสบปัญหาล้มละลาย ไม่มีแม้กระทั่งไม้บรรทัดไปโรงเรียน ครอบครัวต้องย้ายบ้านไปเรื่อยๆ เพื่อหนีเจ้าหนี้ ทำให้เขาตั้งใจว่าสักวันจะต้องร่ำรวยให้ได้ เพราะเจ็บแค้นกับชีวิตที่รันทดในวัยเด็ก

วันนี้ ชิณณ์ ผันตัวจากมาร์เก็ตติ้งหุ้น มาสู่นักลงทุนหุ้นอิสระในวัยเพียง 30 ต้นๆ กับพอร์ตหุ้นหลัก 100 ล้าน

ชิณณ์เริ่มลงทุนตอนเรียนอยู่ปีสาม โดยเขาซื้อหุ้นตัวแรก ก็โชคร้ายเจอเหตุการณ์ 9/11 แต่ช่วงแรกลงทุนโดยใช้เงินเก็บที่มีอยู่เล็กน้อย จึงเสียหายไม่มาก หลังจากนั้นเขาตื้อ ขอเงินเก็บทั้งหมดของครอบครัวจำนวน 5 แสนบาทมาใช้ลงทุน เขาตื้ออยู่นานจนพ่อใจอ่อนให้เขายืม สุดท้ายเขาขาดทุนไป 3 แสน!!!!!
ระหว่างนั้นเขาต้องพยายามปิดบังพ่อเพราะกลัวพ่อรับไม่ไหว ชิณณ์ ใช้เวลา 1 ปี ทำให้พอร์ตกลับมาเป็น 5 แสน เขารีบนำเงินไปคืนพ่อทันที และตัดสินใจว่า เขาจะไม่ใช้เงินของครอบครัวเล่นหุ้นอีกแล้ว !!!!!!

หลังจากเรียนจบจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เขาใช้เวลาหนึ่งปีศึกษาหุ้นอยู่ที่บ้าน หลังจากนั้นจึงได้เข้าทำงานเป็นมาร์เกตติ้งในโบรกเกอร์ธนชาต โชคดีในช่วงแรกๆที่เขาเข้าทำงาน เป็นช่วงที่ตลาดบูมสุดขีดทำให้เขาได้ค่าคอมมิสชั่นเกือบแสนบาทต่อเดือน เขาทำงาน 3 เดือน ก็ได้เงินเก็บมาสามแสนบาท

"ช่วงนั้นเป็นช่วงที่ตลาดที่สุดแล้วครับ หลังจากนั้นผมก็ได้น้อยลงเรื่อย ๆ เดือนละสองหมื่น สามหมื่น"

เขาใช้เงินที่ได้จากค่าคอม 3 แสนบาทนั้น มาลงทุนในหุ้นอย่างจริงจัง


"นั่นเป็นจุดเริ่มต้นครับ ผมนำเงินเก็บนั้นไปลงทุนในหุ้นเดินเรือ ภายในสามเดือนได้กำไร 500% จากเงิน 3 แสนกลายเป็นล้านห้าครับ"