วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิกฤติการณ์คือโอกาสของการลงทุน

ช่วงนี้โลกเราเกิดปัญหาเป็นข่าวไม่เว้นแต่ละวัน เดือนที่แล้วประเทศกรีซเจอปัญหาหนี้สินสาธารณะก่อนโต    ทำให้ประเทศในสหภาพยุโรป1ต้องร่วมยื่นมือเข้าช่วยเหลือโดยด่วนก่อนที่จะกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจลุกลามไปยังประเทศที่ใช้เงินสกุลยูโรร่วมกัน นอกจากกรีซแล้วยังมีโปรตุเกส อิตาลี ไอร์แลนด์ และสเปน ที่เจอปัญหาหนี้สาธารณะมหึมา ประเทศทั้ง 5 นี้ได้ฉายาเป็นกลุ่มประเทศลูกหมูหรือ PIIGS (เอาอักษรตัวแรกของแต่ละประเทศมาเรียงกัน) ชื่อน่ารักดีครับ แต่หากปัญหาหนี้สาธารณะครั้งนี้ไม่ได้รับการแก้ไข มันจะน่ากลัวตรงกันข้ามกับชื่อเลยทีเดียว

เท่าที่ผมจำได้ผมเห็นวิกฤติเศรษฐกิจมาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งแรกปี 2540 “Tomyumkung Crisis”เกิดที่ประเทศไทยโดยมีอินโดนีเซียและเกาหลีใต้ได้รับผลกระทบเป็นลูกโซ่ตามมาด้วย ถัดมาในปี 2551 เกิด “Hamburger Crisis” จากปัญหาหนี้เสียภาคอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกา นักเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกบอกว่าเจ้าวิกฤติแฮมเบเกอร์นี้เป็นวิกฤติเศรษฐกิจที่รุนแรงที่สุดในช่วง 90 ปีของโลกเลยทีเดียว (ก็แหงเหนาะ GDP ของสหรัฐอเมริกาเป็นอันดับ 1ของโลก ถ้าอเมริกาทรุด โลกทั้งใบก็เป๋ตามอยู่แล้ว) ผ่านไปแป๊บเดียวแบบตดยังไม่ทันหายเหม็นต้นปี 2553 ก็เกิด “Greece Crisis” ในยุโรปและหลายคนก็กลัวว่าไอ้ที่เห็นตอนนี้มันแค่น้ำแข็งที่อยู่พ้นน้ำขึ้นมา ไอ้ภูเขาน้ำแข็งใต้น้ำนี่นะซิ!! ทำไมนักเศรษฐศาสตร์และนักวิเคราะห์ถึงได้กลัวว่าวิกฤติกรีซจะกลายเป็นปัญหาใหญ่โตหากทุกประเทศในสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาไม่ร่วมด้วยช่วยเหลืออย่างจริงจัง
มาดูตัวเลข GDP ปี 2009 ของกลุ่มประเทศที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจทั้ง 3 ครั้งครับ
เปรียบเทียบตัวเลข GPD แล้ววิกฤติต้มยำกุ้งเด็กไปเลยเมื่อเทียบกับวิกฤติแฮมเบเกอร์ ลองคิดดู เล่นๆ นะครับหากเกิดกรณีเลวร้ายที่สุดถ้าประเทศในสหภาพยุโรปติดเชื้อวิกฤติกรีซละก็ กรี๊ด...สะเทือนซางแน่ๆ เพราะดูจาก GDP รวมของสหภาพยุโรปแล้วใหญกว่าของอเมริกาด้วยซ้ำ
มามองโลกในแง่ดีกัน พวกเราหลายคนโชคดีมากที่ในชีวิตได้เห็นวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ๆ ของโลกถึง 3 ครั้งในช่วงเวลาไม่ถึง 15 ปี (ไม่เสียชาติเกิดจริงๆ) เป็นสัจธรรมชัดเจนข้อหนึ่งเลยว่า ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่รอดกับการเปลี่ยนแปลง จำได้ว่าตอนวิกฤติต้มยำกุ้งหลายคนพลิกวิกฤติเป็นหน้าผาลาโลกไปแล้ว ส่วนหลายคนยืนระยะได้ด้วยความเข้มแข็งก็กลับมารวยอีกครั้ง ถ้าเราทำใจนิ่งๆ มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความเป็นกลางไม่ตื่นตระหนกไปตามกระแส ดูทุกอย่างตามความจริง วิกฤติเศรษฐกิจนี่แหละคือโอกาสที่ดีที่สุดในการลงทุน อย่าให้เงินของคุณมันนอนนิ่งๆ ในธนาคารครับ ให้มันทำงานทดแทนบุญคุณเราบ้าง ให้คุ้มค่ากับที่เราอุตส่าห์ขยันอดออมหามันมา
ก่อนจะว่าด้วยเรื่องการลงทุน ขอขึ้นต้นด้วยธรรมเนียมปฏิบัติสุดฮิตเพื่อปัดสวะความรับผิดชอบทั้งปวงให้พ้นตัวก่อนครับ...ฮาาา


คำเตือน: การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้อ่านต้องใช้วิจารณาญานก่อนตัดสินใจลงทุน

อย่างแรกที่น่าลงทุนคือบ้าน ใครคิดจะกู้ซื้อบ้าน ช่วงนี้นับเป็นเวลาที่ดี เพราะดอกเบี้ยต่ำ มีบ้านให้เลือกในตลาดเยอะ ทั้งโครงการใหม่และบ้านมือสอง ถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่คิดจะมีบ้านเป็นของตัวเองซะที (ใครที่มีบ้านแล้วแต่อยากลงทุนในบ้านเล็กบ้านน้อย ให้กลับไปอ่านคำเตือนข้างบนอีกรอบนะครับ) ในที่นี่ผมมองในแง่การซื้อบ้านเพื่อเป็นเจ้าของและอยู่อาศัยเองนะครับ แต่ถ้าจะซื้อเพื่อการลงทุนให้ได้ผลงอกเงย ผมว่าบ้านไม่ใช่ทางเลือกที่ให้ผลตอบแทนที่สูง ที่ดินต่างหากที่ใช่ เพราะบ้านไม่ได้มีราคาเพิ่มขึ้นตามอายุการใช้งาน ที่ดินต่างหากที่ขึ้น ไม่ใช่ตัวบ้าน ถ้าเรามองการตลาดของการขายบ้านปัจจุบันแล้ว จะเห็นว่าเขาเน้นขายที่ตัวบ้าน (รวมทั้งคอนโดและทาวน์โฮมต่างๆ) คนขายจะเน้นเสมอว่าเดินทางสะดวก ใกล้ที่นู้นที่นี่ แต่ที่ดินจริงๆ ได้ผืนเล็กนิดเดียว ดูแล้วไม่ใช่การลงทุนที่คุ้มค่าเลย แต่ถ้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยละก็ ช่วงวิกฤตินี่แหละน่าซื้อบ้านที่สุด


ต่อมาก็ทองคำ ฮอตฮิตมากจริงๆ โดยส่วนตัวผมไม่เคยซื้อทองคำเป็นเส้นหรือเป็นแท่งเลยในชีวิต แต่ถ้าคุณมีเงินเย็นที่ไม่ได้ใช้เลยจริงๆ (หรือที่เขาเรียกกันว่าเงินนอน) แนะนำให้ซื้อเก็บไว้บ้างสัก 5% ของพอร์ตการลงทุน ยิ่งเศรษฐกิจดีเท่าไหร่ทองคำจะนิ่ง เช่นช่วงปี 1980-1995 ราคาทองคำนิ่งมาตลอด แต่เข้ายุคโลกาภิวัฒน์ เกิดความเปลี่ยนแปลงและความวุ่นวายขึ้น ราคาทองคำก็เริ่มผันผวนแรงขึ้นลง โดยมีแนวโน้มว่าถ้าเศรษฐกิจดีราคาทองตก แต่ถ้าเศรษฐกิจไม่ดีเมื่อไหร่ราคาทองปรับขึ้นเมื่อนั้น แต่ข้อเสียของการซื้อทองคำก็มีนะครับ ...   หาที่เก็บให้ดีๆ และจำให้ได้ว่าเก็บไว้ที่ไหน... ดีที่สุดคือไปเช่ากล่องนิรภัยตามธนาคารครับ
ตัวต่อมาคือหุ้นที่ถือในระยะยาว โดยส่วนตัวผมชอบการถือหุ้นในระยะยาวมากที่สุด ควรมีประมาณ 50 % ของพอร์ตการลงทุน เงินที่จะเอามาซื้อหุ้นที่ถือในระยะยาวต้องเป็นเงินนอนหรือเงินเย็นเท่านั้น และต้องมองหาหุ้นที่ให้ปันผลสูงแต่ P/BV ต่ำลงในระยะยาวเท่านั้น (ลองเข้าไปหาข้อมูลหุ้นดีๆ ของบ้านเราใน www.settrade.com ดูครับ) 
ตัวถัดมาคือหุ้นเล่นระยะสั้น อันนี้พูดตรงๆ เลยนะครับ ...เหมือนเข้าบ่อน เป็นการเล่นกับความโลภของตัวเองล้วนๆ ต้องรู้จักตัวเองก่อนเล่นหุ้นระยะสั้น อันนี้ผมไม่ขอเรียกว่าการลงทุนนะครับ ขอเรียกว่าหาค่าขนม ค่าน้ำมัน ค่าอาบน้ำ...เอ้ยไม่ใช่...ค่าน้ำค่าไฟมากกว่า ยิ่งช่วงไหนคนตื่นกลัวกับเหตุร้ายหรือวิกฤติการณ์เศรษฐกิจมากเท่าไหร่ หุ้นจะตกลึก โอกาสที่จะทำเงินจากเล่นในระยะสั้นๆ ก็ยิ่งมากเท่านั้น ขึ้นกับความใจถึงและรู้จักพอล้วนๆ แต่ถ้าใครจะหยิบยืมหรือกู้เงินมาเล่นหุ้นระยะสั้น ขอเตือนว่าอย่าเด็ดขาด แต่ถ้าอยากลองก็ได้ครับไม่ว่ากันอยู่แล้ว (ไปอ่านคำเตือนข้างบนอีกรอบนะ)
ประกันชีวิตให้ซื้อเท่าที่ควรจะซื้อเพื่อประโยชน์ในการหักภาษีเท่านั้น อย่าซื้อเพราะคนขายเป็นญาติเรา หรือซื้อเพื่อตัดรำคาญ หรือซื้อเพราะกะฟันคนขาย เงินที่เราจ่ายบริษัทประกัน เขาก็เอาไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นถ้ามีเงินออมมากๆ ให้ไปซื้อพันธบัตรโดยตรงครับ ซื้อผ่านกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลก็ได้ครับ และสามารถไถ่ถอนออกมาใช้ในยามฉุกเฉินได้ง่ายกว่าประกันชีวิตที่บางทีต้องรอนานถึง 7-10 ปีจะเวนคืนกรมธรรม์โดยที่ไม่ขาดทุนเงินต้น
ตอนนี้มีกองทุนรวมที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหลายกองให้เลือก ลองเข้าไปศึกษาข้อมูลในเว็บไซท์ของบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนรวม (บลจ.) ต่างๆ ได้ครับเช่น www.tmbam.com www.scbam.com www.ayfunds.com www.thanachartfund.com เป็นต้น เราอาจซื้อพันธบัตรรัฐบาลผ่านกองทุนรวมหรือซื้อผ่านช่องทางการเปิดจำหน่ายโดยรัฐบาลอย่างกองทุนวายุภักษ์ พันธบัตรออมทรัพย์ไทยเข็มแข็ง เป็นต้น การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเป็นการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในระดับหนึ่ง และได้รับผลตอบแทนดีกว่าเอาเงินไปฝากประจำหรือออมทรัพย์ ผมแนะนำให้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลไว้    25-30% ของพอร์ตการลงทุนครับ
กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ (Real Estate Fund) มีบ้างก็ดีครับ กองทุนรวมนี้เป็นมายังไง อย่างเช่นพวกนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างเซ็นทรัล เขาอยากทำศูนย์การค้าที่ถนนพระราม 3 แต่ไม่ลงเงินเองทั้งหมด ใช้เงินชาวบ้านมาทำธุรกิจตามหลัก Other People’s Money:OPM ระดมเงินผู้สนใจผ่านกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์กองหนึ่ง ได้เงินมาก็ไปเช่าที่ระยะยาว 20-30 ปีกับเจ้าของที่ดิน สร้างเป็นศูนย์การค้าขึ้นมา พอห้างเสร็จก็ขายพื้นที่เช่าให้ผู้ประกอบการ โรงหนัง และผู้ค้ารายย่อย แล้วเซ็นทรัลก็เก็บค่าเช่า รายได้จากค่าเช่าก็เอามาปันผลคืนให้กับผู้ซื้อหน่วยลงทุนในกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ที่ตั้งขึ้นมานี้ เป็นต้น กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์บางกองจ่ายปันผลให้ผู้ถือหน่วยทุกไตรมาส หลายคนจึงชอบลงทุนในกองทุนรวมอสังหาฯ เพราะมีไก่ออกไข่ให้กินสม่ำเสมอทั้งปี กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์โดยทั่วไปให้ผลตอบแทนปีละ 8-10% ของเงินลงทุน แต่ต้องดูลักษณะของการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ด้วยนะครับ บางกองทุนรวมเป็นการเช่าทำประโยชน์ระยะยาว 20-30 ปี เมื่อใกล้สิ้นสุดสิทธิ์การเช่าทำประโยชน์ มูลค่าของหน่วยลงทุนก็จะลดลงส่งผลให้มูลค่าเงินต้นของคุณลดลงตามด้วย ดังนั้นก่อนซื้อหน่วยลงทุนของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ต้องศึกษาก่อนว่ากองทุนนั้นๆ ได้รับสิทธิ์การทำประโยชน์แบบสมบูรณ์ (free hold) หรือแค่ได้สิทธิ์เช่าตามระยะเวลาที่กำหนด (lease hold) เท่านั้น อย่างไรก็ตามข้อดีของกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ก็คือ ราคาจะผันผวนน้อยกว่าหุ้น หรือเงินต้นของคุณอาจลดลงน้อยกว่าดอกเบี้ยปันผลรายปีที่กองทุนเหล่านี้ให้ก็เป็นได้
สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity) อย่าง น้ำมัน" ช่วงไม่กี่ปีมานี้ทำลายสถิติราคาตลอด ราคาน้ำมันขึ้นลงยิ่งกว่ารถไฟเหาะตีลังกา (เพราะเกิดจากการเก็งกำไรซื้อขายล่วงหน้า) หลายคนลงทุนกับ commodity เพราะเล่นรอบได้และได้กำไรเร็ว แต่ในเมืองไทยลงทุนทางตรงกับ commodity ได้ยาก จะได้ก็แค่ผ่านทางกองทุนรวมต่างๆ ที่หลายบลจ.เริ่มทะยอยเปิดให้ผู้สนใจได้เข้าซื้อหน่วยลงทุนกัน ซึ่งตัวผมมองว่าได้ไม่คุ้มเสียเพราะในระยะยาวน้ำมันขึ้นลงเป็นไซเคิล และรอบนี้ถ้าราคาน้ำมันอยู่ในขาขึ้น มองอนาคตก็มีโอกาสที่จะเข้าขาลงและขาดทุนได้ ดังนั้นการลงทุนในตัวน้ำมันโดยตรง ถือว่าเสี่ยงมากหากผู้ลงทุนไม่เชี่ยวชาญ ผมแนะนำว่าให้ลงทุนโดยการซื้อหุ้นของบริษัทน้ำมันที่มีการบริหารจัดการที่ดีและมีผลประกอบการที่สม่ำเสมอแทน ตราบใดที่สามัญสำนึกและความรับผิดชอบของมนุษย์ที่มีต่อโลกร่วมกันและความรักษ์สิ่งแวดล้อมยังพ่ายแพ้ต่อความโลภและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์เอง ...ซื้อหุ้นบริษัทน้ำมันไม่มีผิดหวังครับ
อันสุดท้ายที่เป็นผลิตภัณฑ์การลงทุนสำหรับคนทำงานประจำหรือผู้มีรายได้ค่อนข้างแน่นอน นั่นคือ RMF (Retirement Mutual Fund) และLTF (Long-term Equity Mutual Fund) การลงทุนผ่าน RMF/LTF ที่หลายคนคิดว่าได้ประโยชน์ทันทีคือการลดหย่อนภาษี แต่บางครั้งอาจไม่คุ้ม!!ทั้งนี้ขึ้นกับประเภทของกองทุน RMF/LTF นั้นๆ ด้วย เช่นกองทุนที่ลงทุนในหุ้น ก็ไม่ต่างกับที่เราซื้อหุ้นเอง แต่การลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นเขาผู้เชี่ยวชาญ นักวิเคราะห์ทำงานเป็นทีม มีคนซื้อขายให้เราแทน โดยคิดค่าบริหารจัดการ (ค่า fee) หักจากผลกำไรที่ได้นั้น และโดยทั่วไปหลักการลงทุนของหลายกองทุนรวม RMF/LTF ขัดกับหลักการลงทุนในหุ้น ที่ถือระยะยาวมีโอกาสได้กำไรสูงกว่า ดังนั้นการเล่นสั้นของกองทุนรวมตามคำสั่งซื้อ/ขายของผู้ถือหน่วยลงทุนในแต่ละวัน ทำให้โอกาสขาดทุนสูงในเบี้องต้น อีกทั้งยังคิดค่า fee เป็นการเสียถึง 2 เด้ง อันนี้ต้องแล้วแต่วิจารณญาณของเจ้าของเงินนะครับ ยิ่งฐานเงินเดือนเยอะ ต้องจ่ายภาษีสูง ต้อง trade off ดูเองว่าจะซื้อ RMF/LTF ให้เต็มสิทธิ์ดีมั๊ย หรือซื้อเท่าที่สมควร แล้วเอาเงินที่เหลือไปลงทุนในส่วนอื่นๆ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจะดีกว่า
การลงทุนนั้นขึ้นกับ ฐานะการเงิน ความอึด และความมีวินัย ของแต่ละคน ใน 3 ตัวที่ว่านี้ ความมีวินัยสำคัญที่สุด อย่าไปหลับหูหลับตาลงทุนเพราะเพื่อนบอกว่าดี หรือลงทุนเพราะได้ยินข่าววงใน เชื่อมั๊ยครับ ถ้าคุณได้ยินประโยค เฮ้ยมึง...ข่าววงในบอกว่า... แล้วละก็ แสดงว่ามีคนอีกอย่างน้อยครึ่งประเทศได้ยินประโยคเดียวกับคุณ และข่าววงในส่วนใหญ่แหกตาทั้งนั้น ของดีใครเขาจะมาบอกคุณ เขาเก็บไว้รวยคนเดียวไม่ดีกว่าหรือ จริงมะ
มีเรื่องน่าสังเกตอยู่เรื่องหนึ่ง วิกฤติเศรษฐกิจเกิดขึ้นทีไร เชือกขายดีทุกที
รู้มั๊ยครับว่าเขาซื้อเชือกไปทำอะไร.....ติ๊กตอก ติ๊กตอก...
อย่ามองโลกในแง่ร้ายซิครับ เวลาเกิดวิกฤติการณ์ปัญหาแบบนี้ คนที่มองโลกในแง่ดีเขาไปซื้อเชือกมากระโดดไงครับ!! ออกกำลังกายเยอะๆ เลือดลมได้สูบฉีด สุขภาพจะได้แข็งแรง ยิ่งบ้านเราวุ่นวายด้วยแล้ว นอกจากสุขภาพกายที่ต้องแข็งแรงแล้ว เราต้องดูแลสุขภาพจิตหนักแน่นด้วย
อย่าหาว่าผมเป็นพวกจิตนะครับ แต่ผมโคตรชอบวิกฤติเลย... ยิ่งวิกฤติหนักของยิ่งถูก
หัดมองโลกให้เป็นนะครับ วิกฤตินี้แหละโอกาสล้วนๆ

บทความจาก 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น