วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

“ลูกโป่งใกล้แตก” แล้วหรือยัง ?



รวยด้วยรักรวยด้วยหุ้น:หุ้นไทยใกล้จุดสูงสุดเดิม 1,789 จุด...เป็น ลูกโป่งใกล้แตกแล้วหรือยัง ?
คอลัมน์รวยด้วยรัก...รวยด้วยหุ้น

โดยมนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)

ช่วงนี้ ผมได้รับคำถามบ่อยมาก ว่า ตลาดหุ้นไทย เป็นจุด เป็น ลูกโป่งใกล้แตกแล้วหรือยัง ?ก็สมควรอยู่ เพราะช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยระดับใกล้ๆ 1,600 จุด ก่อนตกหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นับว่า ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯมา ในปี 1975 นั้น มีเพียงเดือนเดียวที่ดัชนีสูงระดับนี้ คือ เดือน มกราคม 1994 ซึ่งดัชนีตลาดฯ ขึ้นสูงสุด ของวันที่สูงสุด 1,789 จุด

ผมมองเร็วๆแล้ว ผมคิดว่า ไม่ใช่ด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้

1.ระดับลูกโป่งวัดด้วยอะไร ? ตอนนั้น กับตอนนี้ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? ผมวัดระดับ ลูกโป่งด้วย เงินกู้สำหรับซื้อหุ้นหรือ ที่เรียกว่า มาร์จิ้นโลนซึ่งในยุค 1994-1997 นั้น ยอดอยู่แถวๆ 1.2-1.5 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบัน ยอดอยู่เพียงประมาณ 5-5.5 หมื่นล้านบาท เท่านั้น

และหากมองเทียบกับขนาดตลาดฯ ช่วงโน้นมูลค่าตลาดสูงๆเพียง 3.5 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันสูงถึง 13 ล้านล้านบาท กล่าวได้ว่า ขนาดตลาดฯใหญ่ขึ้น กว่า 3 เท่า แต่เงินปล่อยกู้ซื้อหุ้นลดลงต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง กล่าวได้ว่า ระดับสัดส่วนความเป็นลูกโป่งลดลงมากเมื่อเทียบกับขนาดตลาดหุ้น

2.เวลาลูกโป่งแตก แสดงว่าหุ้นแพงมากใช่ไหม ? ตอนนั้น กับตอนนี้ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? ผมคิดว่าใช่เลยครับ ถ้าหุ้นไม่ใช่แพงมาก ก็คงไม่ตกแรงมาก ตอนนั้น ระดับตลาดหุ้นซื้อขายกันที่ PER ประมาณ 20 เท่า เมื่อเทียบกับปีข้างหน้า และปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า

ผมมักชวนให้นักลงทุนคำนวณส่วนกลับ PER ด้วย เพราะ PER คือ ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น และ ส่วนกลับ คือ 1/PER = กำไรต่อหุ้น / ราคาหุ้น คือ ผลตอบแทน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นปันผล และส่วนที่เหลือบริษัทเก็บไว้โต ซึ่งก็ยังเป็นของเจ้าของหุ้นอยู่ดี


ยุคที่ PER 20 เท่า ผลตอบแทนหรือส่วนกลับก็คือ 1/20 = 5%

และปัจจุบัน PER ประมาณ 14 เท่า ผลตอบแทนหรือส่วนกลับก็คือ 1/14 = 7%

โดยเฉพาะเมื่อเทียบผลตอบแทนกับเงินฝาก ช่วงนั้น คือ 20 เท่า คือผลตอบแทน 5% ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยสถาบันการเงิน ใกล้ๆ 10% ! แต่ ปัจจุบัน PER 14 คือ ผลตอบแทน 7% ก็ยังสูงกว่าดอบแทนธนาคาร ซึ่งอยู่ระดับ 2-3% เท่านั้น จึงยังไม่เห็นแรงกดดันที่น่ากลัวว่า เงินจะแห่ออกจากตลาดหุ้น ไปฝากสถาบันการเงินแต่อย่างใด

เงินปอนด์...เป้าหมายต่อไปของ จอร์จ โซรอส


 
โดยทีมงานจัดการกองทุนบัวหลวง
ศิรารัตน์ อรุณจิตต์

จอร์จ โซรอส….หรือที่เรารู้จักเขาในฐานะพ่อมดการเงิน เราคงจะคุ้นหูกันดีเพราะเคยทำกำไรมหาศาลจากการโจมตีค่าเงินบาทและสกุลเงินของอีกหลายชาติในเอเชียมาแล้วเมื่อช่วงวิกฤตการเงินในเอเชีย ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศไทยในปี 2540

(เตรียม) โจมตี....ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ต้องยกให้ปู่จอร์จผู้นี้ แม้อายุจะใกล้ 83 ปีแล้ว แต่ความเก๋ายังเยอะ ซึ่งล่าสุดมีรายงานช่วงกลางเดือน ก.พ.ว่าเขาสามารถทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้เกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 29,840 ล้านบาท) เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่ผ่านมา จากการเข้าเก็งกำไรค่าเงินเยนของญี่ปุ่นหลังจากเยนอ่อนค่าลงกว่า 17% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ต้นไตรมาส 4 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตเงินเยนอ่อนค่าที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 2528 เป็นต้นมา การโจมตีหรือเก็งกำไรค่าเงินของเขาจะเป็นไปในหลายรูปแบบ

ซึ่งกรณีล่าสุด หลังจากปู่จอร์จพิจารณาแล้วว่าญี่ปุ่นจะต้องแก้ปัญหาสถานการณ์ด้านค่าเงินแน่ๆ ก็มีการเก็งกำไรค่าเงินเยนล่วงหน้าและการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่จะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินเยน ซึ่งต่อมาธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ก็ใช้มาตรการด้านการเงินเพื่อเอาชนะภาวะเงินฝืดตามแรงกดดันของรัฐบาลใหม่ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ตามคาด

เงินปอนด์....สกุลเงินของประเทศอังกฤษในวันนี้กำลังเผชิญกับความยากลำบากในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ที่เมื่อภาคการคลังตึงตัว ภาคการเงินก็ต้องช่วยผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้อังกฤษสูญเสียความน่าเชื่อถือระดับสูงสุดไปเมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดย Moody’s ลดอันดับของอังกฤษลง 1 ขั้น จาก Aaa สู่ Aa1 ขณะที่ Standard & Poor และ Fitch Rating ยังคงอันดับ AAA แต่ให้มุมมองเชิงลบไว้ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่ามีโอกาสที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

หุ้นล่าฝัน



หุ้นล่าฝัน
โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ยามที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุดขีด ถ้าสังเกตดูคร่าวๆจะพบว่า หนึ่ง บริษัทขนาดใหญ่มีกำไรเพิ่มขึ้นบ้าง ส่วนใหญ่ไม่มากนักคิดทั้งปีก็อาจจะโตซัก 10%-15%

เรียกว่าไม่ได้โดดเด่นมากขนาดทำให้หุ้นขึ้นถึง 30%-40% อย่างที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับบริษัทขนาดใหญ่คือ พวกเขามักจะมีแผนการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก กู้เงินหรือบางทีเพิ่มทุนขนานใหญ่เพื่อจะไปลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ

สอง บริษัทเล็กๆ มักมีกำไรโตแบบ ก้าวกระโดดซึ่งมีสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมดีขึ้นและอื่นๆ อีกมากมายรวมถึงบริษัทเหล่านั้นมีขนาดเล็ก กำไรที่เคยมีมักน้อยหรือมีฐานต่ำ ดังนั้นเวลากำไรดีขึ้น เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะสูง บางบริษัทจึงโตได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นไปนั้นกลับสูงลิ่วยิ่งกว่ามาก ผลคือ หุ้นตัวเล็กๆ มีค่า PE สูงมาก ค่า PE 30-40 เท่าจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับหุ้นกลุ่มนี้

สาม หุ้นจำนวนไม่น้อย กำไรของบริษัทไม่ได้โดดเด่นนัก บางบริษัทอยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมโตยากหรือแข่งขันหนัก การหวังให้กำไรเติบโตจึงทำได้ยาก ดังนั้น พวกเขาจะหาอะไรมาเป็นตัว ขับเคลื่อนหุ้นที่มักพร้อมจะวิ่งอยู่แล้วถ้ามีอะไรมากระตุ้นในภาวะแบบนี้?

กลยุทธ์ที่จะใช้ขับเคลื่อนราคาหุ้นที่ ทรงพลังมากอย่างหนึ่ง ในภาวะตลาดหุ้นกระทิงดุคือทำธุรกิจที่กำลังร้อนแรง เป็นธุรกิจแห่งอนาคต เป็นธุรกิจใหม่มีศักยภาพเติบโตสูงมาก และเป็นธุรกิจที่บริษัทเองอาจทำอยู่แล้ว หรือเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องที่บริษัทอ้างว่าสามารถทำได้และมีความรู้ความสามารถเพียงพอ