วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556



"เซียนหุ้นพันธุ์ผสม" "กระทรวง จารุศิระ"

ความรอบรู้เรื่องหุ้นของ ซัน-กระทรวง จารุศิระเจ้าของพอร์ตหุ้น หลักสิบล้านบาทถูกการันตีด้วยรางวัล แชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทย 2013” “ชายวัย 34 ปีลงทุนมา 10 ปี ปัจจุบันถูก ป้อม-ปิยพันธ์ วงศ์ยะราประธานกรรมการบริหาร Stock2Morrow ฉกเข้าสังกัดเรียบร้อยแล้ว และมีแผนจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อเป็นวิทยาทานแก่เม่าน้อยมือใหม่

ผมเป็นพี่ชายคนโต จากจำนวนพี่น้อง 2 คน น้องสาวคนสุดท้องทำอาชีพ ทันตแพทย์ตอนเด็กๆคุณพ่อเปิดร้านขายของชำ ส่วนคุณแม่ทำร้านทอง จังหวัดชลบุรี เมื่อห้างแม็คโครมาเปิดสาขาในจังหวัดชลบุรี ทำให้ร้านขายของชำของคุณพ่อจำต้องปิดกิจการ ส่งผลให้เหลือเพียงธุรกิจร้านทองเพียงอย่างเดียว วันไหนท่านไปต่างประเทศจะไปช่วยดูแลแทน นักลงทุนพันธุ์ผสมเล่าประวัติให้ กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง

เริ่มรู้จักตลาดหุ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 ตอนนั้นกำลังเรียนปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำได้ว่า มีคนรู้จักของญาติ ขาดทุนหุ้นในปี 2540หนักถึงขั้นนำปืนมายิงจ่อปากตัวเองหน้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่โต เราเห็นแบบนี้ทำให้ไม่รู้สึกอยากเล่นหุ้น ตลาดหุ้นอันตรายอดีตเคยคิดเช่นนั้น

เคยเห็นดัชนีตั้งแต่ สูงสุด1,700 จุด และ ต่ำสุด200 จุด ตอนนั้นแอบเสียดายเพราะยังไม่สนใจตลาดหุ้น ช่วงนั้นราคาหุ้นแต่ละตัวถูกมาก ยกตัวอย่าง หุ้น เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ราคาต่ำแค่ 0.10 บาท สมัยนั้นถือเป็นหุ้นในฝันของนักลงทุนหลายๆคน ปัจจุบันหุ้น CPN ถือเป็นหุ้นที่ทำให้พอร์ตของเราทะยานแตะ หลักสิบล้านบาทต้นทุนเฉลี่ย 20 กว่าบาท
จุดเริ่มต้นการลงทุนเกิดขึ้นช่วงเรียนปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความที่ต้องคลุกคลีกับวิชาวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์ขั้นพื้นฐาน ทำให้ตัดสินใจสมัครแข่งขันโครงการ มันนี แมเนจเม้นท์ อวอร์ดส์ซึ่งเป็นโครงการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จัดขึ้นเป็นปีแรก

เชื่อหรือไม่!! รายการนี้ยากกว่าไปแข่งขันรายการ แฟนพันธ์แท้อีก เพราะว่าเป็นการรวบรวมผู้เข้าแข่งขันที่มีความรู้เรื่องการเงินล้วนๆ แถมมีการแข่งกันหลายรอบ ผลปรากฎว่า เราได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทำให้มีโอกาสไปดูงานที่เกาะฮ่องกง 10 วัน และได้รางวัลเป็นหน่วยลงทุนมูลค่า 100,000 บาท ถือหน่วยลงทุนแค่วันเดียว เช้ารุ่งขึ้นขายทิ้งทันที

กระทรวงเล่าต่อว่า เมื่อปี 2546 ได้รวบรวมเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุน 100,000 บาท และเงินเก็บอีกเล็กน้อยมาซื้อ หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ INTUCH ราคา 23 บาท และขายในราคา 32 บาท ใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ประทับใจมากช่วงนั้นแอบคิดในใจ เล่นหุ้นง่ายจัง
ผ่านไป 1-2 ปี พอร์ตลงทุนโตเป็น 300,000 บาท ตอนนั้นเน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานอย่างเดียว หลักการที่ใช้เป็นแนววีไอล้วนๆ ตอนนั้นยังไม่รู้จักเล่นเทคนิค วิธีการ คือ เน้นดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี แต่หากอยากวิเคราะห์ราคาหุ้นในอนาคตจริงๆ ทำเพียงย้อนดูข้อมูลคงไม่พอ เพราะราคาหุ้นมักตอบสนองข้อมูลในอดีตไปเกือบหมดแล้ว ฉะนั้นช่วงนั้นจึงต้องวิเคราะห์เกี่ยวกิจการด้วยว่า เขาสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เท่าไหร่ แรกๆ ก็วิเคราะห์ผิดๆ ถูกๆ

ชีวิตการลงทุนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเขาเกริ่นนำ เมื่อปี 2551 เกิดวิกฤติทางการเงิน ทำให้พอร์ตลงทุน ขาดทุน 50 เปอร์เซ็นต์ตอนนั้นเริ่มรู้สึกท้อแท้กับการลงทุนแนววีไอ แม้ราคาจะลดลงมากแต่ไม่ยอมขาย เพราะเชื่อว่าสุดท้ายราคาจะดีดขึ้นมาสู่พื้นฐานที่แท้จริง ซึ่งในความเป็นจริงเราควรขายก่อนแล้วมารอรับที่ราคาข้างล่างถึงจะถูกต้อง
ช่วงนั้นมีหุ้นอยู่ประมาณ 3 ตัว นั่นคือ หุ้น อินโอรามา เวนเจอร์ส หรือ IVL ซื้อราคา 12 บาท เมื่อเจอวิกฤติราคาลดลงมาอยู่ที่ 7 บาท นอกจากนั้นยังมี หุ้น ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBINK และ หุ้น ปตท.หรือ PTT หุ้น 2 ตัวหลังจำราคาต้นทุนไม่ได้ ผ่านมานานแล้ว (หัวเราะ)

ผมก็เหมือนนักลงทุนแนว VI ทั่วไป คือ ซื้อหนังสือของคนเก่งๆมาอ่าน อาทิ หนังสือตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรและหนังสือแปลของ "ปีเตอร์ ลินซ์" และ วอร์เรน บัฟเฟตต์

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"เสี่ยป๋อง" หิ้วหุ้นทิ้งปีนี้ ปมดันพอร์ตทะลุ "พันล้าน"



"เสี่ยป๋อง" หิ้วหุ้นทิ้งปีนี้ ปมดันพอร์ตทะลุ "พันล้าน"

ผ่านมา 2 ปี “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เซียนหุ้นเทคนิคชื่อดัง ซุ่มเงียบขยับพอร์ตลงทุนจาก 200 ล้านบาท สู่ “หลักพันล้าน” ผ่านมาแค่ 11 เดือน

เมื่อ
 “ศาสตร์ฮวงจุ้ย” สำคัญเทียบเท่า “การวิเคราะห์เทคนิค” เซียนหุ้นเทคนิครายใหญ่ “เสี่ยป๋อง -วัชระ แก้วสว่างจึงปฎิบัติการณ์เชิญ “ซินแซ” ประจำตัววัย 60 ปี มาปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ย ห้อง VIP 8 ชั้น 2 อาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส หรือ ASP วันที่ 11 เดือน 11 ปี 2011 เวลา 11:11 นาที ถือเป็นฤกษ์งามยามดี

ปรับเปลี่ยนทิศทางห้อง VIP หมายเลข 8 ไม่นาน กราฟชีวิตการลงทุน “พุ่งพรวด” สิ้นปี 2555 “เสี่ยป๋อง” ฟัน “กำไร” เข้ากระเป๋าประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ ฐานที่มั่นแห่งนี้ ตามความเชื่อ “ศาสตร์ฮวงจุ้ย” จะมีอายุเพียง 5 ปี นับจากปี 2555 “นักลงทุนรายใหญ่” ยึดโบรกเกอร์ เอเซีย พลัส เป็นฐานที่มั่นตั้งแต่ปี 2544 เปลี่ยนห้องประจำการณ์มาแล้วหลายครั้ง

วันแรกของการมีห้องนั่งเทรดส่วนตัว เกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนตึก
 World Trade Center ประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านมาถึงปี 2545 หาเงินจากตลาดหุ้นได้เท่าไรถูกเรียกคืนกำไรหมด ในครานั้นพนักงานประจำ บล.เอเซีย พลัส แนะนำให้เขารู้จัก “ซินแส” ท่านหนึ่ง “ทิศไม่ดี ปรับห้องไปก็ไร้ประโยชน์” สิ้นเสียงคำบอกกล่าว “เสี่ยป๋อง” รีบขนของย้ายห้องทำเงินทันทีในปี 2546
เขาย้ายเข้าห้องใหม่ในเดือนส.ค.2546 ช่วงนั้นตลาดหุ้นซื้อขายอยู่แถว 400 จุด ผ่านมา 3 เดือน ตลาดหุ้นทะยานแตะ 800 จุด ทำให้เขาได้ “กำไร” ทันที 500 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อในศาสตร์ฮวงจุ้ยมากขึ้น “อยากได้ลาภเร็ว” เขาบอกกับซินแส เพราะห้องนี้จะมีพลังเหลือเพียง 6 เดือน

รอบนี้จำเป็นต้องย้ายห้องอีกครั้ง
 “ซินแส” บอก เชื่อหรือไม่ ห้องที่สามทำให้เขารอดพ้นจากเหตุการณ์ปฎิวัติทางการเมืองในปี 2549 และเหตุการณ์แคปปิตอล คอนโทรล นั่งประจำการณ์ไม่นานพลังของห้องหมดอีกครั้ง “เสี่ยป๋อง” ต้องย้ายของขึ้นไปหลบภัยบนยอดตึกสาธรซิตี้ทาวเวอร์เกือบปี ก่อนจะลงมาอยู่ห้อง VIP หมายเลข 8

กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” มีโอกาสเจอ “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” วัย 40 ปี ในลุคที่อ้วนขึ้น 20 กิโลกรัม บรรยายกาศภายในห้อง VIP ยังคงคอนเซ็ปท์เช่นเดิม นั่นคือ ทำห้องให้รกเหมือนอยู่บ้าน บนโต๊ะทำงานร่ายล้อมไปด้วยคอมพิวเตอร์ 7 ตัว แต่ละตัวถูกแบ่งหน้าที่แตกต่างกันไป ตัวที่ 1-3 คอยตรวจเช็คราคาหุ้นไทย ตัวที่ 4 ดูเส้นเทคนิค ตัวที่ 5 เช็คเมล์ ตัวที่ 6 เปิดดูเวปไซด์ทั่วไป ตัวสุดท้าย ตรวจดูหุ้นต่างประเทศ เขาบอกว่า “ใจจริงอยากมีมากกว่านี้” เขาสวม “เฮดโฟน” นั่งประการณ์เก้าอี้ตัวเดิม เพื่อดูกราฟหุ้นก่อนปิดตลาดภาคเช้า

ตรงข้ามโต๊ะทำงานของ
 “เสี่ยป๋อง” จะมีคอมพิวเตอร์อีก 4 ตัว เพื่อคอยบริการเพื่อนสนิทมิตรสหาย วันนั้นถูก “น้องชายคนสนิท” นามว่า “ต่อ” จับจองเก้าอี้ตั้งแต่เช้า

วันนี้พอร์ตลงทุนของผมพุ่งทะลุ “พันล้านบาท“ แล้ว เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีมูลค่าแค่ “200 ล้านบาท” เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เปิดประเด็นตื่นเต้น ก่อนหันไปสั่งอาหารเที่ยง

มองเทคนิคแบบ VI


มองเทคนิคแบบ VI

เวลาฟังนักวิเคราะห์ทางเทคนิคพูดถึงราคาหุ้นของแต่ละตัวว่าจะไปทางไหน  ควรจะซื้อหรือขาย  หรือมีแนวต้านแนวรับเท่าไรแล้ว  ผมจะไม่สนใจเลย   
           เหตุผลก็เพราะผมไม่เชื่อว่าวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะสามารถทำเงินได้  ประเด็นสำคัญก็คือ  การซื้อ ๆ ขาย ๆ  เมื่อราคาขยับไปเพียงเล็กน้อยนั้นทำให้กำไรที่ได้รับคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น้อยตามไปด้วย  และนี่หมายความว่าราคาหุ้นต้องขยับไปตามที่เราคาดด้วยวิธีทางเทคนิคด้วย  แต่ข้อเท็จจริงก็คือ  ราคาหุ้นอาจจะขยับไปในทางตรงกันข้าม  ผลก็คือเราก็จะขาดทุน  ดังนั้น  ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะบอกได้ถูกต้องถึง 60-70%  บอกผิด 30-40%  แต่ในขณะเดียวกัน  เราต้องเสียค่าคอมมิชชั่นทุกครั้งไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด  ผลก็คือ  เราก็ไม่เหลืออะไร  เป็นไปได้ว่าเราจะขาดทุนมากกว่ากำไรเพราะเราซื้อขายบ่อยมาก  ดังนั้น  โอกาสที่เราจะรวยหรือได้กำไรมาก ๆ  จากการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาซื้อขายหุ้นเป็นประจำจึงเป็นไปได้ยากมาก
           ถ้าจะถามว่าผมไม่ยอมรับเลยใช่ไหมว่าเรื่องของเทคนิคนั้นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและก็อาจจะเป็นจริงสามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้  คำตอบของผมก็คือ  ไม่ใช่เรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้น  อาจจะมีรูปแบบ”  ที่พอจะคาดการณ์ได้  มันอาจจะมีเหตุผลรองรับ   ว่าที่จริงผมเองก็มักจะสังเกตดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบางตัวอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีเวลาว่าง  ผมไม่ได้ใช้กราฟราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นแบบนักเทคนิคมืออาชีพ   ผมแค่นั่งดูการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นแต่ละวันและก็พยายามคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น  “เบื้องหลัง”  หุ้นตัวนั้น  และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นเคลื่อนไหวอย่างที่มันกำลังเป็น
           เหตุผลข้อแรก ก็คือเรื่องของจิตวิทยาของนักลงทุน   ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นอาจจะเคลื่อนไหวไปตาม  “จิตวิทยาหมู่”  ของ  “มวลมหาประชากรของนักลงทุน”  ที่เข้ามาซื้อขายหุ้นที่พวกเขาเชื่อว่าจะวิ่งขึ้นไปมากด้วยเหตุผลบางอย่าง   ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นขึ้นไปจริงตามคำทำนาย  หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า  Self- Prophecy  กระบวนการก็คือ  เมื่อนักลงทุนเห็นราคาหุ้นของหุ้น  “ยอดนิยม”  ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  พวกเขาก็อยากจะ  “กระโดดขึ้นรถ”  เพื่อขอทำกำไรไปด้วย  นั่นก็คือ  พวกเขาเข้าไปซื้อหุ้น   และการซื้อหุ้นของพวกเขาก็มีส่วนที่จะช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น  ดังนั้นหุ้นก็จะวิ่งขึ้นต่อไปตามที่พวกเขาคาดไว้   และนี่ก็จะดึงดูดให้นักลงทุนคนใหม่เข้ามาซื้อเพิ่มเพื่อหวังทำกำไรและก็ทำให้หุ้นเพิ่มต่อขึ้นไปอีก
            เหตุผลข้อสอง ที่อาจจะเป็นเบื้องหลังของราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  หรือปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ  “ตามเทคนิค”  ก็คือเรื่องของการ  “มีข้อมูลที่ไม่เท่ากัน”  ของนักลงทุนเกี่ยวกับตัวบริษัทนั้น ๆ  ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทอาจจะค้นพบเหมืองทองคำ  หรือกำลังได้งานหรือสัญญาที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมในอีกหลายปีข้างหน้า  คนที่รู้ก่อนก็คือบุคคลภายในบริษัท </SPANInsider) หรือคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็จะเข้ามาซื้อหุ้นก่อนและทำให้ราคาหุ้นขยับปรับตัวขึ้น   ครั้นแล้วคนเหล่านั้นก็จะบอกคนใกล้ชิดหรือเพื่อนซึ่งก็จะเข้ามาซื้อเป็นรายต่อไปซึ่งก็จะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก   ต่อมานักวิเคราะห์ซึ่งสังเกตเห็นราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นก็ค้นพบข้อมูล  อาจจะโดยการเปิดเผยของบริษัท  ก็จะออกบทวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อหุ้น   ต่อจากนั้น  นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ก็อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นล็อตใหญ่เก็บเข้าพอร์ตส่งผลให้ราคาวิ่งขึ้นอย่างแรง  และสุดท้าย  นักลงทุนรายย่อยประเภท  “แมงเม่า”  ก็ได้รับรู้ข่าวสารที่  “ดีสุดยอด”  นั้นและเข้ามาซื้อหุ้นซึ่งก็ยิ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอีก  กระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดทันทีแต่ค่อย ๆ  ทยอยเกิดขึ้นส่งผลให้ราคาค่อย ๆ  ปรับตัวขึ้น  อาจจะเป็นหลายเดือน  ดังนั้น  นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นักเทคนิคสามารถเข้ามาทำกำไรได้ในจุดใดจุดหนึ่ง