วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

มองเทคนิคแบบ VI


มองเทคนิคแบบ VI

เวลาฟังนักวิเคราะห์ทางเทคนิคพูดถึงราคาหุ้นของแต่ละตัวว่าจะไปทางไหน  ควรจะซื้อหรือขาย  หรือมีแนวต้านแนวรับเท่าไรแล้ว  ผมจะไม่สนใจเลย   
           เหตุผลก็เพราะผมไม่เชื่อว่าวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะสามารถทำเงินได้  ประเด็นสำคัญก็คือ  การซื้อ ๆ ขาย ๆ  เมื่อราคาขยับไปเพียงเล็กน้อยนั้นทำให้กำไรที่ได้รับคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น้อยตามไปด้วย  และนี่หมายความว่าราคาหุ้นต้องขยับไปตามที่เราคาดด้วยวิธีทางเทคนิคด้วย  แต่ข้อเท็จจริงก็คือ  ราคาหุ้นอาจจะขยับไปในทางตรงกันข้าม  ผลก็คือเราก็จะขาดทุน  ดังนั้น  ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะบอกได้ถูกต้องถึง 60-70%  บอกผิด 30-40%  แต่ในขณะเดียวกัน  เราต้องเสียค่าคอมมิชชั่นทุกครั้งไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด  ผลก็คือ  เราก็ไม่เหลืออะไร  เป็นไปได้ว่าเราจะขาดทุนมากกว่ากำไรเพราะเราซื้อขายบ่อยมาก  ดังนั้น  โอกาสที่เราจะรวยหรือได้กำไรมาก ๆ  จากการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาซื้อขายหุ้นเป็นประจำจึงเป็นไปได้ยากมาก
           ถ้าจะถามว่าผมไม่ยอมรับเลยใช่ไหมว่าเรื่องของเทคนิคนั้นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและก็อาจจะเป็นจริงสามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้  คำตอบของผมก็คือ  ไม่ใช่เรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้น  อาจจะมีรูปแบบ”  ที่พอจะคาดการณ์ได้  มันอาจจะมีเหตุผลรองรับ   ว่าที่จริงผมเองก็มักจะสังเกตดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบางตัวอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีเวลาว่าง  ผมไม่ได้ใช้กราฟราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นแบบนักเทคนิคมืออาชีพ   ผมแค่นั่งดูการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นแต่ละวันและก็พยายามคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น  “เบื้องหลัง”  หุ้นตัวนั้น  และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นเคลื่อนไหวอย่างที่มันกำลังเป็น
           เหตุผลข้อแรก ก็คือเรื่องของจิตวิทยาของนักลงทุน   ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นอาจจะเคลื่อนไหวไปตาม  “จิตวิทยาหมู่”  ของ  “มวลมหาประชากรของนักลงทุน”  ที่เข้ามาซื้อขายหุ้นที่พวกเขาเชื่อว่าจะวิ่งขึ้นไปมากด้วยเหตุผลบางอย่าง   ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นขึ้นไปจริงตามคำทำนาย  หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า  Self- Prophecy  กระบวนการก็คือ  เมื่อนักลงทุนเห็นราคาหุ้นของหุ้น  “ยอดนิยม”  ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  พวกเขาก็อยากจะ  “กระโดดขึ้นรถ”  เพื่อขอทำกำไรไปด้วย  นั่นก็คือ  พวกเขาเข้าไปซื้อหุ้น   และการซื้อหุ้นของพวกเขาก็มีส่วนที่จะช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น  ดังนั้นหุ้นก็จะวิ่งขึ้นต่อไปตามที่พวกเขาคาดไว้   และนี่ก็จะดึงดูดให้นักลงทุนคนใหม่เข้ามาซื้อเพิ่มเพื่อหวังทำกำไรและก็ทำให้หุ้นเพิ่มต่อขึ้นไปอีก
            เหตุผลข้อสอง ที่อาจจะเป็นเบื้องหลังของราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  หรือปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ  “ตามเทคนิค”  ก็คือเรื่องของการ  “มีข้อมูลที่ไม่เท่ากัน”  ของนักลงทุนเกี่ยวกับตัวบริษัทนั้น ๆ  ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทอาจจะค้นพบเหมืองทองคำ  หรือกำลังได้งานหรือสัญญาที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมในอีกหลายปีข้างหน้า  คนที่รู้ก่อนก็คือบุคคลภายในบริษัท </SPANInsider) หรือคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็จะเข้ามาซื้อหุ้นก่อนและทำให้ราคาหุ้นขยับปรับตัวขึ้น   ครั้นแล้วคนเหล่านั้นก็จะบอกคนใกล้ชิดหรือเพื่อนซึ่งก็จะเข้ามาซื้อเป็นรายต่อไปซึ่งก็จะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก   ต่อมานักวิเคราะห์ซึ่งสังเกตเห็นราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นก็ค้นพบข้อมูล  อาจจะโดยการเปิดเผยของบริษัท  ก็จะออกบทวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อหุ้น   ต่อจากนั้น  นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ก็อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นล็อตใหญ่เก็บเข้าพอร์ตส่งผลให้ราคาวิ่งขึ้นอย่างแรง  และสุดท้าย  นักลงทุนรายย่อยประเภท  “แมงเม่า”  ก็ได้รับรู้ข่าวสารที่  “ดีสุดยอด”  นั้นและเข้ามาซื้อหุ้นซึ่งก็ยิ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอีก  กระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดทันทีแต่ค่อย ๆ  ทยอยเกิดขึ้นส่งผลให้ราคาค่อย ๆ  ปรับตัวขึ้น  อาจจะเป็นหลายเดือน  ดังนั้น  นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นักเทคนิคสามารถเข้ามาทำกำไรได้ในจุดใดจุดหนึ่ง

           เหตุผลข้อที่สาม  เป็นเรื่องของการตอบสนองของคนหรือนักลงทุนต่อข่าวสารที่มักจะไม่พอดีหรือไม่สมบูรณ์หรือไม่ทันทีโดยเฉพาะข้อมูลที่จะต้องนำไปวิเคราะห์เพิ่มเติม  ตัวอย่างเช่นเรื่องของผลประกอบการที่ประกาศออกมาของบริษัท   สมมุติว่าบริษัทประกาศว่ามีกำไรเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาด   นักลงทุนบางส่วนก็จะเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มแต่หลายคนก็ยังอาจจะรีรอเพราะยังไม่แน่ใจว่ากำไรนั้นจะดีต่อไปมากน้อยแค่ไหน   หลายคนอาจจะยังไม่ทันได้วิเคราะห์  ดังนั้น  ราคาหุ้นก็อาจจะปรับตัวขึ้นบ้างแต่ยังไม่ถึงจุดที่ควรจะเป็น  ต่อมาเมื่อนักวิเคราะห์เข้าไปตรวจสอบและออกคำแนะนำให้ซื้อ  ราคาหุ้นก็อาจจะขยับตัวขึ้นไป   กระบวนการนี้ทำให้ราคาค่อย ๆ  ขยับขึ้นอย่างต่อเนื่องส่งผลให้นักเทคนิคสามารถเข้าไปซื้อหุ้นทำกำไรได้
            ข้อสุดท้ายที่ผมจะพูดถึงก็คือ  เบื้องหลังของแนวรับแนวต้าน”  นั้น  อาจจะเกิดขึ้นจาก  “ความทรงจำ”  ของนักลงทุนต่อราคาหุ้นในอดีต   ตัวอย่างเช่น  ถ้าหุ้นตัวหนึ่งมีการซื้อขายกันที่ราคาประมาณ 10 บาทต่อหุ้นเป็นระยะเวลานานซึ่งทำให้มีคนจำนวนมากที่ซื้อหุ้นมาในต้นทุนประมาณนั้น   ครั้นแล้วราคาหุ้นก็ตกลงมาเหลือเพียง 8 บาทต่อหุ้น   ดังนั้น  เมื่อหุ้นค่อย ๆ  ปรับตัวกลับมาที่ 10 บาทต่อหุ้น  คนที่ขาดทุนจำนวนมากก็จะขายเพื่อเอาทุนคืน”    ผลก็คือ  หุ้นจะวิ่งเกิน 10 บาทไปยาก   ดังนั้น 10 บาทจึงกลายเป็น  “แนวต้าน”  ในทางตรงกันข้าม  เมื่อหุ้นแกว่งตัวอยู่ที่ระดับราคาค่อนข้างต่ำในระดับหนึ่งมานาน   นักลงทุนจำนวนมากที่พลาดโอกาสหรือพลาดจังหวะที่จะซื้อเมื่อหุ้นอยู่ในระดับราคาที่สูงก็จะเข้ามาช้อนซื้อหุ้นเมื่อหุ้นตัวนั้นตกลงมาที่ระดับราคาที่ต่ำ  ผลก็คือ  ที่ราคานั้นจะเป็น  “แนวรับ”  ที่ราคาจะไม่ลดต่ำกว่านั้นง่าย ๆ
           จากประสบการณ์ส่วนตัวของผมเองนั้น  ผมคิดว่าเหตุผลต่าง ๆ  ที่กล่าวถึงคงมีความเป็นจริงอยู่ไม่น้อย  ผมเคยเห็นหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  ยาวนานและสูงมาก  โดยที่ผมไม่คิดว่าพื้นฐานของมันจะดีพอที่จะรองรับราคาที่ขึ้นไป  แต่ในใจก็รู้สึกว่ามันคงจะขึ้นไปอีก  เหตุผลก็เพราะว่ามี  “แรงเชียร์และมีคนสนใจพูดถึงกันมาก  และแม้แต่ VI ชั้นนำบางคนก็ถือหุ้นจำนวนมาก  ดังนั้น  หุ้นตัวนั้นก็คงต้องขึ้นตามที่มีการคาดไว้  เป็น  Self Prophecy  ส่วนในกรณีของหุ้นที่ขยับขึ้นไปในลักษณะที่ว่าอาจจะมีข่าวดีที่บุคคลภายในรู้ก่อนและเริ่มซื้อหุ้นและต่อมาก็มีคนใกล้ชิดหรือคนที่อาจจะรู้ข่าวเข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นมาเรื่อย ๆ  ก็เป็นสิ่งที่ผมเคยพบมาก่อน  เช่นเดียวกับเรื่องของการประกาศผลประกอบการที่ดีขึ้นแต่การปรับขึ้นของราคาหุ้นที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นระยะ ๆ   ก็เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดเวลา  สุดท้ายในเรื่องของแนวรับแนวต้านนั้น  ผมก็รู้สึกว่ามันอาจจะมีความเป็นจริงอยู่เหมือนกันแต่ไม่ใช่ในแบบที่นักเทคนิคพูด  แนวรับแนวต้านที่บางครั้งผมพบนั้น  จะเป็นลักษณะที่หุ้นบางตัวนั้น  พอลงถึงจุดหนึ่งก็มักจะมีแรงซื้อเข้ามารับเหมือน    กับว่าคราวก่อนที่หุ้นลงมาแล้วไม่ได้ซื้อ  คราวนี้เป็นโอกาส  และดังนั้น  หุ้นก็มักไม่ลงต่ำกว่านั้น

           ทั้งหมดที่พูดถึงนั้น  ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องที่จริงแท้แค่ไหน  มันอาจจะเป็นความรู้สึกของผมเองที่ติดตามดูราคาของหุ้นบางตัวที่ผมสนใจและก็เห็น  “อาการ”  หรือรูปแบบของราคาหุ้นเป็นแบบนั้น  แต่ถ้าทำการศึกษาจริง ๆ  ในหุ้นจำนวนมาก  มันอาจจะไม่เป็นแบบนั้นก็ได้   แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร  ผมก็ยังไม่เคยใช้การสังเกตหรือการวิเคราะห์ทางเทคนิคมาตัดสินใจซื้อขายหุ้นจริง ๆ  เลย  ผมยังยึดมั่นว่าจะไม่ใช้ความรู้สึกมาเป็นหลักในการซื้อขายหุ้นเพราะความรู้สึกนั้นอาจจะผิดเพราะมันมักจะลำเอียง”  โดยที่เราไม่มีทางจะรู้ตัว  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  ความรู้สึกนั้น  มักจะทำให้การถือหุ้นลงทุนของเราสั้นลง  และนี่อาจจะไม่คุ้มค่าเลย  ดังนั้น  สำหรับผมแล้ว  “อาการทางเทคนิคของหุ้นนั้น  เอาไว้ดูเล่นดีกว่า  อย่าเอาไปตัดสินใจซื้อขายหุ้นเลย

บทความจาก กรุงเทพธุรกิจ
http://bit.ly/1jzDtGr

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น