วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

7 วิธีดูหุ้น 'นพ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'



7 กลยุทธ์เฟ้นหาสุดยอดหุ้นสูตร 'นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ' เลือกหุ้นแบบไหนสร้างผลตอบแทนได้ 4-5 เท่า..ตั้งแต่เปลี่ยนมาลงทุนแนว VI ซื้อหุ้น 'ไม่เคยขาดทุน'
จากหมอสูติ-นรีเวช ก้าวสู่เส้นทาง เซียนหุ้นวีไอต้องการมีอิสระภาพทางการเงิน นายแพทย์ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ คุณหมอวัยกลางคนวัย 43 ปี เคยล้มเหลวจากการลงทุนเพราะยึดนโยบาย ไม่ขาย ไม่ขาดทุนทำให้ ขาดทุนจากวอร์แรนท์ตัวหนึ่งถือไว้จนราคาหุ้นแทบเป็น "ศูนย์" จากนั้นก็หยุดเล่นหุ้นไปพักใหญ่ก่อนจะกลับมาซื้อขายอีกครั้งในปี 2544 ด้วยแนวทาง Value Investor อย่างเต็มตัว ปัจจุบันคุณหมอเป็นเจ้าของพอร์ตหุ้นหลักเท่าไร ไม่รู้เพราะเจ้าตัวกอดความลับนี้ไม่ยอมเปิดเผย บอกเพียงว่าไม่แตกต่างอะไรจากคณะกรรมการสมาคมวีไอคนอื่นๆ...ซึ่งพอจะสรุปได้ว่า 
"พอร์ตคงใหญ่ไม่ใช่เล่น"

หมอมุขเจ้าของชื่อล็อกอิน Paul vi ในเว็บไซต์ไทยวีไอ เปิดเผยกลยุทธ์การลงทุนส่วนตัวให้ฟังว่า หลักๆ จะเน้นดู 7 ข้อ คือ

1.หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น (ROE) สูง 15-20% ขึ้นไป ROE จะบ่งบอกความสามารถของผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น ยิ่งสูง ยิ่งดีแต่บางครั้งก็มีตัวหลอกเหมือนกัน หากบริษัทนั้นมีหนี้สินจำนวนมาก ฉะนั้นต้องดูดีๆ อย่ารีบเชื่อทันที!

ข้อ 2. หุ้นตัวนั้นต้องมีอัตราผลตอบแทนต่อสินทรัพย์ (ROA) สูงกว่า 10%
ข้อ 3.ต้องมี PEG ratio น้อยกว่า 1 เท่า คือการเทียบค่า P/E ratio กับการเจริญเติบโตของกำไรสุทธิ (Growth) หาโดยเอาค่า P/E ratio ตั้งหารด้วยเปอร์เซ็นต์การเจริญเติบโตนั้น บริษัทใดที่ราคาหุ้นต่ำจะน่าซื้อ ถ้าค่า PEG ratio เกิน 1 แสดงว่าราคาหุ้นสูงเกินไป
ข้อ 4.ต้องมีอัตราเงินปันผลตอบแทน (Dividend Yield) อยู่ในระดับ 3.5-4% ขึ้นไป ถามว่าทำไมต้องเป็นตัวเลขนี้ เพราะเป็นตัวเลขที่มากกว่าอัตราเงินเฟ้อที่ปกติจะอยู่ระดับ 3%
ข้อ 5. หุ้นตัวนั้นต้องมีกระแสเงินสดสูงๆ ยิ่งไม่ต้องจ่ายหนี้ "ผมจะชอบมากเป็นพิเศษ"

เล่นหุ้นตามผลประกอบการ




การเล่นหุ้น หรือการลงทุนให้ได้กำไรดีในระยะยาว สำหรับคนจำนวนมากเป็นเรื่องยาก เหตุผลก็คือ พวกเขาไม่มีความรู้

หรือความสามารถในการวิเคราะห์กิจการ  นอกจากนั้น เขาไม่รู้ว่าอะไรคือหุ้นแพง และอะไรคือหุ้นถูก เมื่อเทียบกับคุณภาพของกิจการ  
 
คนจำนวนไม่น้อยจึงชอบ "เล่นหุ้นตามข่าว" นั่นก็คือ เขาจะซื้อหรือขายหุ้น ตามข่าวที่ปรากฏตามหน้าหนังสือพิมพ์วันต่อวัน เช่น บริษัทประกาศจ่ายหุ้นปันผลในอัตราที่น่าสนใจ พวกเขาเข้าไปซื้อ ถือไประยะหนึ่ง อาจจะหลังได้รับปันผลแล้วก็ขาย เป็นต้น
การทำแบบนี้ พวกเขาคิดว่าจะได้กำไร แต่นี่เป็นกลยุทธ์ที่ถูกต้องหรือไม่ ผมไม่รู้ บริษัทไม่ได้ประกาศหุ้นปันผลทุกตัวหรือทุกปี การเล่นหุ้นตามข่าวนี้ อาจต้องรอนาน และอาจไม่มีหุ้นให้เล่นพอ แน่นอน มีข่าวอื่นๆ ให้เล่นได้ทุกวัน แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีกลยุทธ์ไหนที่ชัดเจนว่า ถ้าเล่นตามข่าวแล้วจะได้กำไร ข่าวแบบเดียวกัน หุ้นตัวหนึ่งอาจได้กำไร แต่อีกตัวหนึ่งอาจขาดทุน รวมๆ แล้ว การเล่นหุ้นตามข่าววันต่อวัน ผมคิดว่าไม่คุ้ม เพราะเราต้องเสียค่าคอมมิชชั่นสูง เพราะต้องซื้อขายบ่อยมาก
 
ถ้าจะเล่นหุ้นตามข่าวแบบได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ และเป็นระบบ ผมคิดว่า กลยุทธ์ที่น่าสนใจ และมีการศึกษาทางวิชาการว่า ทำเงินได้จริง ก็คือ การเล่นหุ้น ตาม "ผลประกอบการ" วิธีการ คือ เราจะซื้อหรือขายหุ้นในวันที่มีการประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส ถ้าหุ้นตัวไหนมีผลประกอบการดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้มาก เราก็ซื้อ ถ้าหุ้นตัวไหนมีผลประกอบการณ์แย่กว่าที่ประมาณการมาก เราก็ขาย หรือขายชอร์ต 
 
หุ้นที่มีผลประกอบการดีกว่าที่ตลาดคาดไว้มาก ราคาจะปรับตัวขึ้นไปมากกว่าตลาดโดยรวมช่วงหนึ่งไตรมาส หรือหนึ่งปีข้างหน้า จริงอยู่ ในวันแรกที่มีการประกาศผล ราคามักจะวิ่งขึ้นไปแล้ว เราต้องซื้อแพงขึ้นกว่าวันก่อนหน้าไม่น้อย เช่น อาจจะขึ้นไป 2-3% แต่ราคายังขึ้นไปได้อีก โดยเฉพาะหนึ่งไตรมาสข้างหน้า หุ้นอาจขึ้นไปต่อได้อีก 7-8% ถึงซื้อแพงขึ้นในวันแรกที่ประกาศงบ ก็ยังคุ้มมาก
 

วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2555

จาก 'เสื้อกาวน์' สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ'

จาก 'เสื้อกาวน์' สู่ 'เซียนหุ้นวีไอ' 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ'


เปิดตัวคุณหมอนักลงทุน 'น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ' ผู้มุ่งมั่นออกเดินทางเพื่อค้นหา Financial Freedom จากแพทย์สูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ ก้าวสู่เซียนหุ้นวีไอชั้นแนวหน้า

ใครๆ ก็มีฝันอยากมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตอย่างที่ตัวเองต้องการ ภายใต้สภาวะความมั่นคงทางการเงิน หนึ่งในนั้น "หมอมุข" น.พ.ประมุข วงศ์ธนะเกียรติ อดีตหมอสูติ-นรีเวช โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ มุ่งมั่นออกเดินทางเพื่อค้นหาความหมาย Financial Freedom ความคิดนี้วนเวียนอยู่ในสมองของเขา! หลังเล่นหุ้นแบบไม่มีหลักการมานานหลายปี..ปัจจุบันนายแพทย์ประมุขในวัย 43 ปี ค้นพบปลายทางของจุดหมาย "อิสรภาพทางการเงิน" อยู่บนถนนสายตลาดหุ้นที่เขาเลือกเดิน!!

ไม่เพียงเขาเป็นหนึ่งในเซียนหุ้นวีไอชั้นแนวหน้าเท่านั้น น.พ.ประมุขยังมีบทบาทเป็นอุปนายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของล็อกอิน Paul vi ในเว็บไซต์ "ไทยวีไอ" ที่สมาชิกรู้จักดี หมอมุขมี รอยยิ้มเป็นเอกลักษณ์ประจำตัว มีประวัติการเรียนดีมาตลอด
เขาจบมัธยมต้นที่โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยศรีนครินทร์วิโรฒปทุมวัน จบมัธยมปลายโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ก่อนจะตีตั๋วเข้าเป็นนักศึกษาแพทย์ศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล รุ่นที่ 98 รุ่นเดียวกับ น.พ.ธเนศ พัวพรพงษ์ ศัลยแพทย์โรงพยาบาลวิภาวดี ผู้พัฒนาเว็บไซต์www.thaiclinic.com รวมถึง น.พ.สมพงษ์ พัฒนกิจไพโรจน์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลบางสะพานน้อย เจ้าของรางวัลแพทย์ชนบทดีเด่นประจำปี 2553

หลังเรียนจบหมอหนุ่มเลือกไปประจำที่โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักด์ แถวหนองแขม ผู้อำนวยการโรงพยาบาลให้อยู่แผนกสูติ-นรีเวช ส่วนภรรยาที่เรียนแพทย์มาด้วยกันประจำอยู่แผนกเด็ก เขาทำงานเพียง 3 ปี ก็ลาออกไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เป็นเวลา 3 ปี ส่วนภรรยาก็ลาออกไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์รามาธิบดี
คุณหมอนักลงทุนย้อนประวัติการการศึกษาให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า เหตุผลที่เลือกเรียนคณะสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา เป็นวิชาที่รวมทั้งการผ่าตัดและยาเข้าด้วยกัน ไม่ได้เน้นด้านใดด้านหนึ่ง แตกต่างจากภาควิชาอายุกรรม หรือภาคอายุศาสตร์ที่จะมีความเป็นวิชาการสูงมาก
"ช่วงหนึ่งผมเคยชื่นชอบภาควิชา หู คอ จมูก เป็นวิชาที่มีความถนัดมากที่สุด เรียนแพทย์เคยได้เหรียญทองแดง 3 วิชา (เหรียญทองแดงเป็นเหรียญที่มีคะแนนสอบสูงสุด) แบ่งเป็นสาขาวิชาพยาธิวิทยาคลินิก เหรียญนี้ได้ตอนเรียนปี 3 และภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา (หู คอ จมูก) ได้ตอนเรียนปี 5 และสาขาเวชศาสตร์ป้องกัน (การป้องกันโรค และป้องกันการบาดเจ็บ) ได้ช่วงเรียนปี 6"

วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เปิดคัมภีร์เซียนวีไอ 'โจ..ลูกอีสาน' กว่าจะมีพอร์ตหุ้น 'เลข 9 หลัก' (ตอน2)



คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น ประโยคพลิกชีวิต 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ก่อนชีวิตจะกลับด้านจาก'คนจน' กลายเป็น 'เซียนหุ้นร้อยล้าน' นิยายกลายเป็นจริง
ถ้าชีวิตคนคนหนึ่งคือกระจกเงาสะท้อนให้เห็นตัวเอง ชีวิต "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง ก็เป็นยิ่งกว่านวนิยายสะท้อนให้ใครหลายคนเห็นว่าเด็กยากจนคนหนึ่งชีวิตยังประสบความสำเร็จได้...นิยายกลายเป็นความจริง!!!    
ในกลุ่มนักลงทุนวีไอรุ่นใหม่ โจนับว่าประสบความสำเร็จอย่างสูงในวัยเพียง 38 ปี เขามีพอร์ตหุ้นใหญ่ "เลข 9 หลัก" ด้วยหลักการลงทุน "กำไรทบต้น" พอร์ตขยายตัวเฉลี่ยปีละ 60% ทำกำไร 400 เท่า ภายในระยะเวลา 12 ปี เขาทำได้มาแล้ว!

โจเป็นคนจังหวัดพังงาแต่ใช้นามแฝง "ลูกอีสาน" ตามนวนิยายเรื่อง ลูกอีสานของ คำพูน บุญทวี หนังสืออ่านนอกเวลาที่บรรยายชีวิตเด็กบ้านนอกยากจนได้บาดลึกถึงหัวใจ  หลังคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้น ป.6 แม่ต้องยึดอาชีพขายของชำเล็กๆ เลี้ยงดูครอบครัว 5 ปาก แต่ทุกคนมีหัวใจเดียวกัน "ชีวิตต้องสู้" ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก นี่เองที่ทำให้เขามุ่งมั่นตั้งแต่เด็ก ชาตินี้ต้องประสบความสำเร็จให้ได้

ช่วงเรียนปริญญาตรีอยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ โจใช้เวลาทุกเย็นคลุกอยู่ในห้องสมุดอ่านหนังสือพิมพ์และ นิตยสารเกี่ยวกับธุรกิจ เพื่อนคนอื่นไปเที่ยวเฮฮากัน โจนั่งอ่าน..อ่าน และอ่านอย่างนี้ทุกวันตลอด 4 ปี เขาเคยล้มเหลวจากความพยายามเล่นหุ้นครั้งแรก และตามภรรยาไปอเมริกาไปทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ 1 ปีครึ่ง ก่อนจะกำเงิน 800,000 บาท กลับมาพิชิตความฝันที่รอคอยจนมีเงิน "หลักร้อยล้าน" ในปัจจุบัน 
 

เซียนหุ้นวีไอรายนี้ เล่าสไตล์การลงทุนให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ปกติจะเป็นคนถือหุ้นค่อนข้างนานเฉลี่ยประมาณ 1 ปี เคยถือนานที่สุด 2-3 ปี ลงทุนสั้นที่สุด 2-3 เดือน ที่ขายเพราะราคาหุ้นขึ้นมาถึงเป้าหมายเร็วก็ขายทำกำไรออกมา  

การลงทุนของโจจะวางน้ำหนักหุ้นไม่กระจุกตัวกันเกินไป เขามีความคิดว่า "นั่งเก้าอี้หลายขาดีกว่าสองขา" ถ้าวิเคราะห์พลาดโอกาสเสียหายจะหนักมาก เพราะฉะนั้นจะไม่วัดดวงกับหุ้นเพียงหนึ่งหรือสองตัว แต่จะกระจายอย่างเหมาะสมเพื่อจำกัดความเสี่ยง
 

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เงินคือพระเจ้า


เงินคือพระเจ้า
โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ถ้าให้ผมจัดลำดับแนวความคิด หรือสิ่งประดิษฐ์สำคัญที่สุดในโลก ที่ทำให้โลกนี้เจริญก้าวหน้ามาได้ถึงทุกวันนี้ ผมคิดว่าหนึ่งในนั้น คือ "เงิน"
ดังนั้น คำพูดที่ว่า "เงินคือพระเจ้า" น่าจะมีความเป็นจริงอย่างยิ่ง นี่เป็นเรื่องที่พูดโดยรวม เป็นการพูดระหว่างเงินกับมนุษยชาติ ถ้าไม่มีเงิน มนุษยชาติก็ยังล้าหลัง และเราทุกคนที่อ่านบทความนี้ ก็จะลำบากกว่าที่เป็นอยู่นี้มาก ตัวผมเอง ก็คงต้อง "อดมื้อกินมื้อ" เพราะความสามารถที่จะไป "ทำมาหากิน" ดูจะน้อยกว่าคนอื่น ผมน่าจะทำเก่ง หรือทำเป็นเฉพาะอย่าง ส่วนอย่างอื่นรวมถึงอาหาร ผมต้อง "ซื้อมากิน" และการซื้อ ต้องใช้เงินเป็นหลัก  สำหรับผมแล้ว "เงินคือพระเจ้า" แน่นอน
 
ก่อนที่จะมีเงินเกิดขึ้นในโลก มนุษย์มีการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน นี่เป็นเรื่องจำเป็น เพราะทำให้คนแต่ละคน สร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะอย่าง ซึ่งทำให้เขามีประสิทธิภาพสูงขึ้น  แทนที่คนสองคนต่างก็ปลูกข้าวและผลไม้เพื่อเอาไว้กิน ก็ให้คนหนึ่งปลูกข้าวและอีกคนหนึ่งปลูกผลไม้ แล้วเอาข้าวครึ่งหนึ่งมาแลกกับผลไม้ครึ่งหนึ่ง แบบนี้ทั้งคู่จะได้ข้าวและผลไม้มากขึ้น เพราะแต่ละคนจะมีความเชี่ยวชาญในการปลูกมากกว่าต่างคนต่างปลูก การแลกเปลี่ยนสินค้า มนุษย์เราทำมานานเป็นหมื่นปี นับจากที่เราเริ่มเป็นเกษตรกร และน่าจะเกิดขึ้นตั้งแต่เกิดมนุษย์ขึ้นในโลกด้วยซ้ำ เพียงแต่เมื่อมนุษย์ตั้งถิ่นฐานแล้ว การแลกเปลี่ยนก็เกิดขึ้นมากมาย เพราะเราสามารถผลิตอาหารได้มากเกินกว่าการบริโภคส่วนตัว จึงต้องนำไปแลกเปลี่ยนกับสินค้าอย่างอื่นจากคนที่หันไปทำอาชีพอื่น สังคมของการแลกเปลี่ยนดำรงอยู่เป็นพันๆ ปี
 
การเกิดขึ้นของเงิน น่าจะมาจากความต้องการในการแลกเปลี่ยนสินค้า ที่เป็นรายการเล็กๆ ที่ทำให้การใช้สินค้ามาแลกกันไม่สะดวก ดังนั้น ก้อนโลหะ ที่หายาก จึงเริ่มถูกนำมาใช้เป็นสื่อกลางแลกเปลี่ยนเมื่อประมาณ 6,000 ปีมาแล้ว  ซึ่งเกิดขึ้นในย่านตะวันออกกลาง เช่น อียิปต์ ซึ่งเป็นแหล่งอารยธรรมแรกๆ ของโลก ต่อมาช่วง 2,500-2,700 ปีที่ผ่านมา โลหะ เช่น บรอนซ์ เงิน และทองถูกนำมาใช้เป็นเงิน โดยการขึ้นรูปเป็นแบบต่างๆ เช่น ทำเป็นรูปมีด หรือพลั่ว ในจีน และเป็นเหรียญ ในตุรกี เป็นต้น โดยแต่ละแบบมีค่าแตกต่างกัน แม้แต่ในไทย เมื่อ 200 ปี  เรา ใช้เงินพดด้วง ซึ่งจะมีคุณลักษณะคล้ายๆ กัน ในการเป็นเครื่องมือแลกเปลี่ยนสินค้า

วีไอ 'อนุรักษ์ บุญแสวง' จากทุน 8 แสน สู่หลัก 'ร้อยล้าน'




กำไรทบต้น สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ผู้เดินตามแนวคิด 'อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์' วันนี้เขามีพอร์ตเลข 9 หลัก

ใครคนหนึ่งเอ่ยถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ว่า "ท่านครับ! ท่านคิดว่าอะไรคือประดิษฐกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติครับ" อัจฉริยะผมยุ่งผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1879-1955 ตอบว่า ก็ดอกเบี้ยทบต้นไง!!! เจ้าของชื่อล็อกอิน ลูกอีสาน

ในเว็บไซต์ Thaivi "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวงวันนี้พอร์ตเขาแตะเลข 9 หลัก เพราะเดินตามทฤษฎี กำไรทบต้นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของไอน์สไตน์ โจเป็นนักลงทุนวีไอที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เขามีแฟนคลับคอยติดตามผลงานการลงทุนอย่างใกล้ชิดและเป็นหนึ่งในกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) โจและเพื่อน 2-3 คน ที่เป็นนักลงทุนแนว VI เหมือนกันลงทุนอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ทุกไตรมาสพวกเขาจะจัดสัมมนาคุยกับแฟนๆ ประมาณ 50 ที่นั่ง ที่ร้านอาหาร สมิหลาซีสปอร์ต ในอำเภอหาดใหญ่

ชื่อ "ลูกอีสาน" ที่โจใช้เป็น "นามแฝง" หาใช้ภูมิลำเนาที่แท้จริงไม่ ความจริงโจเกิดและใช้ชีวิตวัยเด็กจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่จังหวัดพังงา ก่อนจะเข้ามาอยู่กับญาติย่านลาดพร้าว เพื่อศึกษาต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนชื่อ ลูกอีสานเกิดขึ้นหลังอ่านนวนิยายเรื่อง ลูกอีสานของ คำพูน บุญทวี ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2544 แล้วเกิดซาบซึ่งในชื่อนี้ขึ้นมา
เซียนหุ้นวีไอรายนี้ปัจจุบันอยู่ในวัย 38 ปี มีพี่น้อง 4 คน โจเป็นลูกชายคนรองคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ส่วนคุณแม่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ยึดอาชีพขายของชำเลี้ยงดูลูกๆ ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก ตัวเขา พี่ชายคนโตและแม่ ต้องแบกรับหน้าที่ทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวทั้ง 5 ชีวิต

วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2555

'ปณต จิตต์การุญ' ปั่น 'กำไร' ตีแตก 'วิกฤติซับไพร์ม'

เทรดเดอร์หนุ่มไร้ใบปริญญาวัย 31 ปี เคยสร้างผลงานบริหารพอร์ตเอาชนะ 'วิกฤติซับไพร์ม' มาแล้ว! เขาไม่ต่างจาก 'แจ็คผู้ฆ่ายักษ์' ผู้คิดค้นวิธีการเทรดด้วยสูตรเฉพาะตัว


ผู้ก่อตั้ง Mudley Group “ต้านปณต จิตต์การุญ หนุ่มวัย 31 ปีที่เรียนไม่จบแม้ปริญญาตรี "วิศวะฯลาดกระบัง" ยอมทิ้งอนาคต "วิศวกร" ขณะเรียนชั้นปีที่ 4 ลาออกกลางคันบินไปฝึกฝนวิธีการเทรดที่สหรัฐอเมริกา ไม่มีใครหยุดความฝันของเขาได้!!!
ตอนที่แล้วกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ได้ปูพื้นที่มาที่ไปของเด็กหนุ่มผู้นี้ไปบ้างแล้ว ในวัยเด็กเขาเป็น "เซียนหมากรุก" ที่พ่อพาตะเวนไปล่ารางวัล ตอนเรียนมหาวิทยาลัยเคยชนะเลิศการแข่งขัน University Stock Competition (ปี 2002) ของตลาดหลักทรัพย์ ต่อมามีนักลงทุนต่างชาติเห็นแววชักชวนไปฝึกวิชา "เทรดเดอร์" ที่อเมริกา เคยร่วมงานกับกองทุน Altera Partners Management ปัจจุบันอยู่ระหว่างจัดตั้งกองทุนบริหารความเสี่ยง (เฮดจ์ฟันด์) จดทะเบียนที่เกาะเคย์แมน ผลงานที่สร้างความภาคภูมิใจให้เด็กหนุ่มคนนี้มากที่สุดก็คือ บริหารพอร์ตให้มีกำไรท่ามกลางวิกฤติซับไพร์มช่วงปี 2551

ปณตเริ่มต้นอธิบายทฤษฎีการลงทุนส่วนตัวที่เขาซุ่มพัฒนามานานนับสิบปีว่า คนทั่วไปมักจะลงทุนด้วยเงินทั้งก้อน ลงทุนแบบนี้มันสุดโต่งเกินไป วิธีที่ผมใช้จะค่อยๆ ลงทุนทีละส่วนเท่ากับว่าเราจะมี "กระสุนใส่ได้ตลอดเวลา" และมีโอกาสที่จะเทรดได้ทุกวัน กระแสเงินสดที่ใส่ลงไปเพิ่มทุกๆ ครั้งจะไปชดเชยมูลค่าพอร์ตที่ลดลงไปได้
เขาบอกว่า ถ้าหากรู้ว่าลงทุน "ผิดทาง" ทางแก้ไขคือการ Cut Loss วิธีคิดของคนส่วนใหญ่จะ Cut Loss ต่อเมื่อเขาสามารถ ซื้อกลับได้ในราคาที่ ถูกกว่าแต่ความจริงก็คือ เราไม่สามารถคาดเดาตลาดได้อย่างแม่นยำ ถ้าเรา Cut Loss แล้วหุ้นขึ้นแปลว่าเราต้องหาโอกาสใหม่ที่จะได้เงินส่วนนั้นกลับคืนมา
"วิธีการของผมจะต้องหาทางทำให้เราไม่ต้อง Cut Loss มาก เพราะฉะนั้นผมจะต้องไม่ทุ่มลงทุนแบบสุดโต่ง และต้องมีโอกาสสร้างกระแสเงินสดได้ตลอดเวลา กองทุนฝรั่งบางกองเขาใช้วิธีเทรดได้ทุกวัน สร้างกระแสเงินสดขึ้นมาชดเชยส่วนที่เสียไป ถ้าเราชดเชยไปเรื่อยๆ ผลตอบแทนจะกลับคืนมาเอง...จอร์จ โซรอส ยังบอกเลยว่าขอป้องกันเงินทุนก่อน เขาจะลงทุนหนักๆ ต่อเมื่อมีกำไรแล้วเอากำไรไปเพิ่ม leverage ขอกำไรจากโฮมรัมเพียงครั้งเดียว สไตล์ของเขาจะไม่เอาเงินต้นมาเล่น หลายกองทุนก็ทำแบบนี้

วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

เศรษฐีชี้ทางรวย




คนส่วนใหญ่มีความต้องการที่เหมือนๆกันอยู่อย่างหนึ่งนั่นคือ อยากรวย เพราะมักคิดว่าการมีเงินมากๆ จะเปิดโอกาสให้ได้ในสิ่งที่อยากได้ จึงมีหนังสือมากมายพิมพ์ออกมาขาย โดยที่ผู้เขียนหวังจะให้ผู้อ่านใช้เป็นคู่มือในการเรียนรู้ เพื่อสร้างความร่ำรวย รวมทั้งเรื่อง The Richest Man in Babylon ของ George S. Clason ผู้ก่อตั้งบริษัททำแผนที่เคลสัน

หนังสือเล่มเล็กๆนี้ พิมพ์ครั้งแรกตั้งแต่ปี ค.ศ.1926 ซึ่งนับถึงวันนี้ก็เป็นเวลาเกือบ 100 ปีแล้ว และมีความพิเศษกว่าเล่มอื่นๆ เพราะเป็นหนังสืออ่านประกอบสำหรับวิชาวางแผนทางการเงินในสหรัฐอเมริกา ณ วันนี้มียอดจำหน่ายแล้ว กว่า 2 ล้านเล่ม

คงเป็นที่ทราบกันแล้วว่า บาบิโลน เป็นเมืองโบราณที่ร่ำรวยจากน้ำมือมนุษย์ล้วนๆ เพราะตั้งอยู่ในหุบเขาอันแห้งแล้ง บนลุ่มแม่น้ำยูเฟรติส หรือในอิรักปัจจุบัน นอกจากจะไม่มีแม้แต่ก้อนหินที่ใช้ในการก่อสร้างแล้ว ยังไม่ตั้งอยู่บนเส้นทางการค้าขายอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความจำเป็นก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่นั่นคือ การสร้างระบบชลประทาน เพื่อนำน้ำจากแม่น้ำมาใช้ในการเพาะปลูก การสร้างเขื่อนและคลอง เป็นประดิษฐกรรมทางวิศวกรรมชิ้นแรกๆของโลก

นอกจากความก้าวหน้าทางวิศวกรรมแล้ว บาบิโลน ยังเป็นแหล่งกำเนิดผลิตภัณฑ์ทางการเงินอีกด้วย เช่น สัญญาทางการค้า การกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา และโฉนดที่ดิน เชื่อกันว่า บาบิโลน มีพ่อค้าที่มั่งคั่งและนักการเงินที่ชาญฉลาด จึงเป็นเมืองที่ร่ำรวยที่สุดในยุคโบราณ

การที่ผู้เขียนใช้เมืองนี้เป็นฉากอาจเพื่อบอกเป็นนัยว่า การวางแผนและการจัดการทางการเงินนั้นไม่มีกาลเวลา นั่นคือไม่มีทันสมัยหรือล้าสมัย อะไรที่เคยเป็นสัจธรรมในอดีตเมื่อ 8,000 ปีก่อนก็ยังคงเป็นสัจธรรมที่นำมาปฏิบัติได้ในปัจจุบัน

หนังสือเรื่องนี้มีเอกลักษณ์ที่ผู้เขียนใช้นิทานเป็นสื่อในการถ่ายทอดเรื่องราวทางการเงิน โดยแบ่งเนื้อหาออกเป็น 11 บท ครอบคลุมประเด็นหลัก 7 ประเด็น ซึ่งเรียงกันตามการนำเสนอในหนังสือ คือ บทเรียนแรกของการเรียนรู้ วิธีการสร้างความร่ำรวย วิธีการแก้ไขความยากจน การเตรียมตัวเพื่อรับความโชคดี กฎทองห้าข้อ กฎการลงทุน และการวางแผนสู่ความสำเร็จ

ผู้เขียนเปิดประเด็นเกี่ยวกับบทเรียนแรกของการเรียนรู้โดยการแนะนำตัวละคร 2 ตัว ซึ่งเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็ก คือ โคบี นักดนตรี และ บันเซอร์ ผู้มีอาชีพทำรถม้า วันหนึ่งทั้งสองปรับทุกข์ให้กันฟังว่า ไม่ว่าจะขยันทำมาหากินเท่าใด ก็ยังไม่สามารถพ้นจากสภาพความยากจนข้นแค้นได้ ไม่ทราบว่าจะมีหนทางใดจึงจะพ้นจากสภาพนี้

'เทรดเดอร์..ไร้ปริญญา


'เทรดเดอร์..ไร้ปริญญา''ปณต จิตต์การุญ' ผู้หาญตั้ง 'เฮดจ์ฟันด์'

เปิดตัว 'ปณต จิตต์การุญ' เทรดเดอร์หนุ่มวัย 31 ปี คนไทยผู้หาญกล้าตั้ง 'เฮดจ์ฟันด์' ลงทุนทั่วโลก ทิ้งใบปริญญา ค้นหาความฝันที่ยิ่งใหญ่

"ต้าน" ปณต จิตต์การุญ เทรดเดอร์หนุ่มวัย 31 ปี ร่วมกับ ณสุ จันทร์สม อดีตผู้จัดการกองทุนชื่อดัง อยู่ระหว่างจัดตั้ง "เฮดจ์ฟันด์" จดทะเบียนที่ "เกาะเคย์แมน" ซึ่งเป็น "ธุรกิจต้องห้าม" ที่ ก.ล.ต.ไทยยังไม่อนุญาต เนื้อหาชีวิตของเด็กหนุ่มผู้นี้นับว่าน่าสนใจ และพลาดไม่ได้ที่จะติดตาม 
 
เมื่อสองปีก่อนทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ไปพบ Blog ของนักเล่นหุ้นคนหนึ่งที่ใช้ชื่อว่า Mudley Group เนื้อหาในนั้นเต็มไปด้วยวิธีการ "เทรด" สไตล์ เฮดจ์ฟันด์ค่อนข้างแปลกใหม่และน่าสนใจ จึงมีการติดต่อทางโทรศัพท์เพื่อขอพูดคุยด้วย! แต่ปลายสายตอบกลับมาว่า...ผมยังไม่สะดวกที่จะเปิดเผยตัวเองตอนนี้ครับ!!!
วันนี้เขาตอบตกลงที่จะให้สัมภาษณ์สื่อเป็นครั้งแรก ทีมข่าว "บิซวีค" มีนัดหมายกับเทรดเดอร์หนุ่มที่ออฟฟิศย่านถนนสุขุมวิท โดยมี ณสุ จันทร์สม อดีตผู้จัดการกองทุนชื่อดัง ที่ปัจจุบันผันตัวเองมาเป็นเจ้าของบริษัทจัดการลงทุน Tranquility Asset Management ที่สิงคโปร์ ร่วมวงสนทนาอยู่ด้วย
เรากำลังจะจัดตั้งกองทุนในต่างประเทศแต่กำลังหาทางนำมาเสนอให้นักลงทุนไทยด้วย จะเรียกว่าเป็นเฮดจ์ฟันด์หรืออะไรก็แล้วแต่จะเรียกกันณสุ เริ่มต้นขึ้น
อดีตผู้จัดการกองทุนคนดัง เล่าว่า ปัจจุบันตนเองนั่งบริหารอยู่ที่สิงคโปร์แต่มีออฟฟิศที่กรุงเทพฯด้วย คอยบริหารกองทุนที่ไปจัดตั้งบน เกาะเคย์แมนลงทุนทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยด้วย ได้มีโอกาสรู้จักกับ ปณต จิตต์การุญ เมื่อสองปีก่อนเพราะได้ดีลงานกัน ชอบวิธีการลงทุนของเขาเลยให้เงินทุนและแนะนำลูกค้ารายใหญ่ให้
จุดเด่นของปณต เขาไม่สนใจว่าจะทำกำไรได้มากหรือน้อย เขาจะสนใจในการป้องกันการขาดทุน เวลา บลจ.ไทยลงทุนถ้าตลาดลง 10% แต่บริหารขาดทุนแค่ 5% ถือว่า "ชนะตลาด" แต่ลูกค้า "ไม่ปลื้ม" แต่ปณตหาวิธีให้เขามีกำไรตลอด...เมื่อเห็นฝีมือ ณสุ จันทร์สม จึงอาสามาเป็น "พี่เลี้ยง" ช่วยปณตจัดตั้งกองทุนของตัวเองพร้อมสนับสนุนเงินลงทุนเริ่มต้นหลัก ร้อยล้านบาทแต่กองทุนนี้ไม่ผ่านสำนักงาน ก.ล.ต.ของไทย โดยไปจดทะเบียนที่เกาะเคย์แมน แล้วไปจ้างผู้ตรวจสอบบัญชีกับคัสโตเดี้ยน มาช่วยงานหลังบ้าน
ผมให้เงินปณตกับคนสิงคโปร์คนหนึ่งมาบริหารพอร์ตให้ผม อีกคนเขาเคยทำงานอยู่กองทุน GIC จะมาดูพอร์ตลงทุนในเอเชียให้ผม ส่วนปณต ผมจะพยายามให้มาขายนักลงทุนไทยให้ได้แม้จะยากในการนำเงินออกไปข้างนอก แต่สักวันจะต้องมีคนรู้จักชื่อกองทุนของเรามากขึ้น อีกหน่อยพวกโบรกเกอร์, กบข., ประกันสังคม อาจเป็นลูกค้าเราก็ได้เพราะผมมั่นใจว่าของเราเจ๋งจริงณสุ ถือโอกาสโฆษณากองทุนที่เขาเป็นโต้โผใหญ่
อดีตผู้จัดการกองทุนคนดัง กล่าวว่า กองทุนของเขาที่มีปณตเป็นผู้บริหาร อยู่ระหว่างแก้ไขเนื้อหาในเอกสารบางส่วน น่าจะเสร็จใน 2-3 เดือนนี้ คนไทยที่อยากลงทุน (ซื้อหน่วยลงทุน) อาจต้องไปซื้อในต่างประเทศจะให้ผ่าน ก.ล.ต.ไทยคงยากมีข้อจำกัดเยอะ โดยเจ้าตัวยืนยันว่ามีคนไทยไปจัดตั้งกองทุนลักษณะนี้ที่เกาะเคย์แมนเยอะแยะ คนไทยที่มีเงินอยู่ต่างประเทศก็หาซื้อได้