กำไรทบต้น สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก 'โจ' อนุรักษ์ บุญแสวง ผู้เดินตามแนวคิด 'อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์' วันนี้เขามีพอร์ตเลข 9 หลัก
ใครคนหนึ่งเอ่ยถาม
อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ว่า "ท่านครับ!
ท่านคิดว่าอะไรคือประดิษฐกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษยชาติครับ"
อัจฉริยะผมยุ่งผู้มีชีวิตอยู่ในช่วงปี 1879-1955 ตอบว่า
ก็ดอกเบี้ยทบต้นไง!!! เจ้าของชื่อล็อกอิน “ลูกอีสาน”
ในเว็บไซต์ Thaivi "โจ" อนุรักษ์ บุญแสวงวันนี้พอร์ตเขาแตะเลข 9
หลัก เพราะเดินตามทฤษฎี “กำไรทบต้น” สิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของไอน์สไตน์ โจเป็นนักลงทุนวีไอที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
เขามีแฟนคลับคอยติดตามผลงานการลงทุนอย่างใกล้ชิดและเป็นหนึ่งในกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า
(ประเทศไทย) โจและเพื่อน 2-3
คน ที่เป็นนักลงทุนแนว VI เหมือนกันลงทุนอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่
จังหวัดสงขลา ทุกไตรมาสพวกเขาจะจัดสัมมนาคุยกับแฟนๆ ประมาณ 50 ที่นั่ง ที่ร้านอาหาร สมิหลาซีสปอร์ต ในอำเภอหาดใหญ่
ชื่อ
"ลูกอีสาน" ที่โจใช้เป็น "นามแฝง"
หาใช้ภูมิลำเนาที่แท้จริงไม่
ความจริงโจเกิดและใช้ชีวิตวัยเด็กจนถึงชั้นมัธยมศึกษาตอนต้นที่จังหวัดพังงา
ก่อนจะเข้ามาอยู่กับญาติย่านลาดพร้าว เพื่อศึกษาต่อมัธยมศึกษาตอนปลาย ส่วนชื่อ “ลูกอีสาน”
เกิดขึ้นหลังอ่านนวนิยายเรื่อง “ลูกอีสาน”
ของ คำพูน บุญทวี ศิลปินแห่งชาติสาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2544 แล้วเกิดซาบซึ่งในชื่อนี้ขึ้นมา
เซียนหุ้นวีไอรายนี้ปัจจุบันอยู่ในวัย
38 ปี มีพี่น้อง 4 คน
โจเป็นลูกชายคนรองคุณพ่อเสียชีวิตตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ส่วนคุณแม่เป็นชาวบ้านธรรมดาที่ยึดอาชีพขายของชำเลี้ยงดูลูกๆ
ในวัยเด็กโจมีชีวิตค่อนข้างลำบาก ตัวเขา พี่ชายคนโตและแม่
ต้องแบกรับหน้าที่ทำงานหาเงินเลี้ยงดูครอบครัวทั้ง 5 ชีวิต
โจลงทุนในตลาดหุ้นมานาน
12 ปีครึ่ง (2543-2555) มีพอร์ตทะยานขึ้นมาเลข 9
หลัก โดยมูลค่าการลงทุนขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกปี "เฉลี่ยปีละ 60%"
มีผลตอบแทนในช่วง 12 ปี เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 400
เท่า สมมติฐานทั้งหมดตั้งอยู่บนหลักการไม่นำเงินออกมาใช้ แต่ความจริงเขานำเงินมาใช้เฉลี่ย
5-10% ของพอร์ต
อนุรักษ์ บุญแสวง นั่งเครื่องบินจากอำเภอหาดใหญ่
เพื่อมาเล่าประวัติชีวิตและเส้นทางการลงทุนให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังโดยมี “ไก่” ธันวา
เลาหศิริวงศ์ นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เป็นผู้ประสานงานให้
ก่อนจะเล่าจุดเริ่มต้นในเส้นทางเซียนหุ้น
โจระบายความใจว่า "พื้นฐานผมมาจากครอบครัวยากจน และเป็นคนบ้านนอก
เมื่อก่อนจะมีประโยคฮิตว่า “คนจนเล่นหวย คนรวยเล่นหุ้น” ผมจึงอยากพิสูจน์ตัวเองว่า คนจนก็เล่นหุ้นได้หมือนกัน
ขอเพียงแค่มีใครสักคนมาคอยชี้แนวทางที่ถูกต้องให้เดินเท่านั้น"
จุดสนใจตลาดหุ้นเกิดขึ้นตอนเด็กๆ
ช่วงนั้นโจย้ายไปอยู่บ้านญาติแถวลาดพร้าว วันหนึ่งก็แอบได้ยินลูกชาย (คุณน้า)
ของคุณปู่ ซึ่งอายุห่างกันประมาณ 15 ปี
บอกกับคุณปู่ว่าอยากลาออกจากงานประจำมาเล่นหุ้น ไม่ต้องทำอะไรเลยก็มีเงินใช้
ตอนนั้นโจคิดในใจว่า “อาชีพอะไรทำไมน่าสนใจแบบนี้” เขาเรียกน้าชายคนนั้นว่า “คิ้ว” ซึ่งแปลว่า “พี่ชาย” เป็นภาษาจีนฮกเกี้ยน
"จากนั้นผมก็เริ่มหาหนังสือและพ็อกเก็ตบุ๊คที่เกี่ยวข้องกับภาวะเศรษฐกิจมาอ่าน
เรียกว่าช่วงนั้นไม่อ่านหนังสือเรื่องอื่นเลย ยกเว้นหนังสือเรียน
เมื่อเรียนจบม.ปลาย ผมก็ไปเรียนต่อในคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ใจจริงอยากเรียนเศรษฐศาสตร์จุฬาฯ เพราะเลือกไว้เป็นอันดับหนึ่ง แต่สอบไม่ผ่าน
(หัวเราะ) จากนั้นก็ไปเรียนต่อด้านการเงินการธนาคารที่รามคำแหง
เพราะอยากมีความรู้เกี่ยวกับการลงทุน"
ช่วงที่เรียนปริญญาตรีอยู่สงขลานครินทร์
โจจะใช้เวลาทุกเย็นอยู่ในห้องสมุดของมหาวิทยาลัย เพื่ออ่านหนังสือพิมพ์
และนิตยสารที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ
เขาอ่านหนังสือลักษณะนี้ทุกวันเป็นระยะเวลา 4 ปี จนเรียนจบในเดือนมีนาคม 2539
หลังเรียนจบปริญญาตรีใบแรกถัดมาประมาณ
3 ปี เขาก็ตัดสินใจลงทุนในตลาดหุ้นเป็นครั้งแรก ตอนนั้นมีเงินประมาณ 50,000
บาท ซึ่งเป็นเงินเก็บจากการทำงานในช่วงที่เรียนมหาวิทยาลัย
ตอนนั้นทำงานในบริษัทขายเครื่องใช้สำนักงานและกล้องถ่ายรูป เงินเดือนน้อยประมาณ 10,000
บาท แต่ก็ต้องทำ
"ช่วงเปิดพอร์ต ผมเจ็บใจมาก (หัวเราะ)
ตอนนั้นเพิ่งผ่านวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งมาใหม่ๆ โบรกเกอร์แห่งหนึ่งจะให้ผมเปิดพอร์ต
5 ล้านบาท ตอนนั้นผมคิดในใจใครจะมีเงินมากขนาดนั้น
สุดท้ายผมก็ไปเปิดพอร์ตที่ บล.เกียรตินาคินประมาณ 300,000 บาท"
ตอนนั้นเขาไปขอเงินแม่มา
100,000
บาท ทั้งครอบครัวคงมีเงินอยู่เท่านั้น แต่แม่ก็ให้เพราะรักลูก
ส่วนที่เหลืออีก 150,000 บาท ไปชวนเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่เรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์มาร่วมลงทุน
เพราะเขาอยากเล่นหุ้นอยู่แล้ว
"ผมซื้อหุ้น บล.เอกธำรง (S-one) เป็นตัวแรก ตอนนั้นปี
2541 ในราคา 11.30 บาท ถือมาประมาณ 1
ปี ก็ขายในราคา 5.80 บาท (หัวเราะ)
เรียกได้ว่า “ขาดทุนยับเยิน” เหลือเงินติดพอร์ตเพียง
120,000 บาท สุดท้ายก็แบ่งคนละครึ่งกับเพื่อน"
นั่นคือความล้มเหลวแรกที่เจ้าตัวไม่เคยลืมเลือน
ช่วงนั้นเขายอมรับว่าในหัวสมองไม่มีวิชาการวิเคราะห์หุ้น
วันๆ อ่านแต่บทวิเคราะห์อย่างเดียว แถมรู้จักธุรกิจที่ลงทุนเพียงผิวเผินเท่านั้น
ผนวกกับตอนนั้นเพิ่งผ่านวิกฤติเศรษฐกิจมาใหม่ๆ ทำให้รายได้ของโบรกเกอร์ไม่ดี
จำได้ช่วงซื้อหุ้น S-one
ดัชนีหุ้นไทยหล่นจาก 600 จุด มายืน 200
จุด
หลังจากขาดทุนหนักโจก็เดินทางไปสหรัฐอเมริกา
ภรรยาที่เป็นอาจารย์สอนหนังสืออยู่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ซึ่งคบกันมาตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัยได้ทุนไปเรียนต่อ
โจใช้เวลาช่วงนั้นศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับงบการเงิน
วันหนึ่งไปอ่านเจอบทความของอาจารย์ที่แนะนำการลงทุนเน้นคุณค่าทางอินเตอร์เน็ต
คนหนึ่งชื่อว่า Paul A Renaud ซึ่งเป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในเมืองไทย เขาเป็นเจ้าของ www.thaistocks.com เขาจะสอนให้ซื้อหุ้นขนาดเล็กเน้นดูพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก
แต่ตอนนั้นโจยังไม่รู้ว่าลงทุนแบบนี้เขาเรียกว่าแนว VI เพราะยังไม่มีการบัญญัติคำเหล่านั้นขึ้นมา
อีกคนชื่อ
ปีเตอร์ อีริค เดนนิส นักลงทุนชาวออสเตรีย คนนี้ก็อยู่เมืองไทยเหมือนกัน
เขาเขียนบทความลงคอลัมน์ "ถนนนักลงทุน"
(ก่อนที่จะเป็นหนังสือกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ในปัจจุบัน) ความยาว 17
หน้า โจอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนจำขึ้นใจ บทความชิ้นนี้ทำให้รู้ว่า
ชีวิตการลงทุนของคนที่จะประสบความสำเร็จได้
"คุณต้องเป็นมืออาชีพเท่านั้น"
ประโยคหนึ่งในบทความบอกว่า
ทำไม! คนไทยต้องไปต่อคิวซื้อธนบัตรที่ได้ดอกเบี้ยเพียง 6% ในขณะที่เมืองไทยมีหุ้นดีๆ
ที่จ่ายเงินปันผลมากกว่า 10% ทุกปี ทำไม! ถึงไม่ซื้อ
เขาถึงขนาดทนไม่ได้ต้องเขียนเป็นบทความออกมาให้นักลงทุนอ่าน
ปีเตอร์
เดนนิส (สมัยก่อนจะเห็นเขาอยู่ที่ห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์เป็นประจำ) เขาบอกว่า
หลักการนี้เหมือนของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
ขณะเดียวกันเขายังแนะนำวิธีการซื้อหุ้นเน้นดูอัตราส่วนทางการเงิน (Financial ratio) อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) และเงินปันผล
รวมถึงคุณภาพบริษัท
"ผมใช้เวลาอ่านบทความต่างๆ ในช่วงที่อาศัยในสหรัฐอเมริกาประมาณ 2-3 ปี หลังอ่านจบทำให้รู้ว่าแนว VI มันมีเหตุผลมากกว่าเส้นเทคนิค
เพราะมีคนทำสำเร็จมาแล้วแถมมีความเป็นไปได้มากกว่า ในอดีตเคยศึกษาเส้นเทคนิคมาประมาณครึ่งปี
แต่พอรู้ว่ามันไม่สามารถทำให้ “รวย” ได้
ผมก็เลยเลิก"
เจ้าของพอร์ตหุ้นหลักร้อยล้าน
เล่าต่อว่า ในช่วงที่ศึกษาการลงทุนก็ลงทุนในตลาดหุ้นไทยไปด้วย ตอนนั้นเล่น “หนักมาก”
โดยจะนำเงินที่ได้จากการทำงานเป็นผู้ช่วยพ่อครัวในร้านอาหารเกาหลีประมาณ
1 ปีครึ่งมาเป็นทุน จำได้ตอนนั้นปี 2543 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มลงทุนแนว VI ทุกเดือนจะโอนเงินกลับเมืองไทยประมาณ
1,000 เหรียญ เพื่อเข้าบัญชีน้องสาว
ซึ่งน้องจะนำไปซื้อหุ้นผ่านโบรกเกอร์ แม้จะโดนหักค่าโอนครั้งละ 5% แต่ก็ต้องยอมเพราะตอนนั้นหุ้นเมืองไทยหลังวิกฤติเศรษฐกิจมัน “ถูกมาก”
ช่วงนั้นเขาซื้อหุ้น 2 ตัว มูลค่าลงทุน 800,000 บาท แบ่งเป็นเงินของภรรยา 50% และของตัวเอง 50% โดย 400,000 บาท นำไปซื้อหุ้น วนชัย กรุ๊ป (VNG) ตอนนั้นลงทุนโทรไปหาโบรกเกอร์ เขาคิดว่าโจพูดชื่อหุ้นผิด เพราะเขาถามกลับว่าหุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) หรือเปล่า! โจบอกว่า "ไม่ใช่" (หัวเราะ)
ช่วงนั้นเขาซื้อหุ้น 2 ตัว มูลค่าลงทุน 800,000 บาท แบ่งเป็นเงินของภรรยา 50% และของตัวเอง 50% โดย 400,000 บาท นำไปซื้อหุ้น วนชัย กรุ๊ป (VNG) ตอนนั้นลงทุนโทรไปหาโบรกเกอร์ เขาคิดว่าโจพูดชื่อหุ้นผิด เพราะเขาถามกลับว่าหุ้น เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป (NMG) หรือเปล่า! โจบอกว่า "ไม่ใช่" (หัวเราะ)
เหตุผลที่ซื้อหุ้น
VNG เขาบอกว่า ตอนนั้นไม่มีใครสนใจหุ้น VNG ในหนึ่งสัปดาห์แทบไม่มีการซื้อขาย
ที่กล้าซื้อ เพราะช่วงนั้นหุ้นมีค่า P/E ที่ 1.5 เท่า นั่นแปลว่า เราทำกำไรแค่ 1 ปีครึ่ง
ก็คุ้มกับราคาที่ซื้อแล้ว สมมุติราคาหุ้น 15 บาท
ปีครึ่งบริษัททำกำไรได้ 15 บาท ถามว่า “ถูกมั้ย!..มันถูกมาก" (ลากเสียงยาว)
ส่วนอีก
400,000
บาท นำไปลงทุนในหุ้น อาร์ ซี แอล (RCL) ตอนนั้นซื้อมา
28 บาท จำได้ค่า P/E อยู่ที่ 2.5
เท่า เขาถือหุ้น 2 ตัวนี้ (VNG, RCL) เกือบปี แต่ราคาหุ้นแทบไม่ขยับตอนนั้นเริ่มสงสัย “เราคิดถูกหรือเปล่า!”
แต่สุดท้ายมาถึง
“จุดเปลี่ยน” มีนักลงทุนกลุ่มหนึ่ง รวมถึง Paul
A. Renaud เขาสนใจหุ้น VNG หลัง Paul
A. Renaud ออกบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้น VNG ผ่านมาเพียง
1 สัปดาห์ ราคาหุ้น VNG ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า
1 เท่าตัว หรือประมาณ 30 บาท
"ผมตัดสินใจเทขายหมดเกลี้ยง ทำให้ได้กำไรกลับมา 400,000 บาท ส่งผลให้พอร์ตเพิ่มขึ้นเป็น 1.2 ล้านบาท
จากนั้นภายใน 1 ปี ราคหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก 10 เท่า เพราะมันกลายเป็นหุ้นมวลชนหลายคนแห่เข้ามาเก็งกำไร
ส่วนเงินที่ได้จากการขายหุ้น VNG ก็นำไปซื้อหุ้นตัวอื่นๆ
กระจายออกไป 2-3 ตัว เช่น หุ้น ฟินิคซ พัลพ แอนด์ เพเพอร์ (PPPC)
เป็นต้น ปัจจุบันหุ้นตัวนี้ออกจากตลาดไปแล้ว
ตอนนั้นแฮปปี้มากเพราะได้กำไรเกือบทุกตัว
โจลูกอีสาน
ทิ้งท้ายว่า อยากเป็นนักลงทุนแนว VI ต้องใช้หลัก “ยิ่งนานยิ่งดี” โจใช้เวลา 7 ปี
ในการทำผลตอบแทนให้ได้ 9 เท่า แต่ใช้เวลา 5 ปีหลัง ทำผลตอบแทนให้ได้ 400 เท่า นั่นเป็นเพราะกลยุทธ์
“มหัศจรรย์การทบต้น”
อัลเบิร์ต
ไอน์สไตน์บอกไว้ว่า “ดอกเบี้ย" คือ สิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก
โจปักใจเชื่อสนิทขณะที่คนส่วนใหญ่รอไม่ได้ จึงหันไปเก็งกำไร ซื้อหวย
และเล่นพนันบอล ส่วนใหญ่ก็เห็นเจ๊งเป็นแถว
เขาอธิบายมหัศจรรย์ของ
“กำไรทบต้น” ว่า สมมติเรามีเงิน 100 บาท สิ้นปีสามารถทำผลตอบแทนได้ 20% เท่ากับว่าสิ้นปีเราจะมีเงิน
120 บาท แทนที่จะเอา 20 บาท ไปกินขนม
เราก็เอา 20% มาทบเป็นเงินต้น ดังนั้นต้นปีก็จะมีเงินต้น 120
บาท สมมติปีที่ 2 เราสามารถทำผลตอบแทนได้เท่าเดิม
กำไรก็จะเปลี่ยนเป็น 24 บาท เราก็เอา 24 บาท ไปทบต้นอีก ทำแบบนี้ไปทุกปีภายใน 10 ปี
มันจะเกิดสิ่งมหัศจรรย์ทะลุฟ้า ฉะนั้นใครคิดอยากรวยเร็ว อย่ามาลงทุนแบบ VI
บทความจาก กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://bit.ly/MGlv11
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น