วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556




9 กูรู"บูมเชียร์" หุ้นไทย ทองคำไม่เจ๋งอย่ายุ่ง

มีเงิน แต่คิดไม่ตกว่าสินทรัพย์ใดหนอ จะสร้างผลตอบแทนคุ้มค่า บนความผันผวน ตลาดทุน-ทอง-ค่าบาท-ดอกเบี้ย กูรูฟันธง"ตลาดหุ้น" ยังน่าสนใจที่สุด

ทองลง หุ้นผันผวน บาทแข็ง ดอกเบี้ยต่ำ สถานการณ์เยี่ยงนี้เม่าน้อยมือใหม่คงมืดแปดหน้า มีเงินแต่ไม่รู้จะ ต่อยอดเงินในสินทรัพย์ประเภทใด ทุกตลาดพร้อมใจ ตกอยู่ในอาการ ผันผวนเกินคาดเดา

ในมุม ตลาดหุ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เหล่ากูรูออกมาตบโต๊ะทำนาย SET INDEX 1,700 จุด สิ้นปีนี้ ได้เห็นแน่!! หลังสร้างสถิติสูงสุดรายวัน ล่าสุดปิดตลาดสูงสุด”1,598 จุด (15 มี.ค.56) ยิ้มได้ไม่นาน ดัชนีก็ทยอยปรับตัวลดลงมาแตะจุดต่ำสุด”1,470 จุด ในช่วงเดือนเม.ย.

เซียนทองคำออกมาฟันธงเอาใจ แฟนพันธุ์แท้คุณมีโอกาสสัมผัสราคา 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์!! สุดท้ายเจอแรงเทขายทองคำของไซปรัส ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้ในช่วงวันที่ 12-16 เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกอ่อนตัวลงกว่า 200 เหรียญต่อออนซ์

 ล่าสุด ผู้รู้ออกมาส่งสัญญาณรอบใหม่ สิ้นปี 56 ราคาทองคำ อาจทำได้ดีสุดที่ระดับ 1,520 เหรียญต่อออนซ์ ขณะที่บางรายทำนาย ต่ำสุด” 1,100 เหรียญต่อออนซ์

ส่วน ค่าเงินบาทในช่วง 3 เดือนผ่านมา (ก.พ.-เม.ย.) แข็งค่าไปแล้วประมาณ 6-7% สูงสุดในภูมิภาค จากระดับ 29.81 บาทต่อดอลลาร์ในเดือนก.พ.56 มาอยู่ที่ 29.74 บาท ในเดือนมี.ค.และ 29.23 บาท ก่อนจะลงลึกไปแตะ 28.54 บาทในเดือนเม.ย.และขยับเป็น 29.28 บาท

ค่าบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อไปจาก 3 ปัจจัย เศรษฐกิจที่ดีของเอเซียและอาเซียน สภาพคล่องทั้งในสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่นไหลกลับเข้ามาลงทุน และแรงกดดันจากการเก็งกำไรที่เข้ามาสมทบคำทำนายของ กอบศักดิ์ ภูตระกูลผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL)

ด้าน ดอกเบี้ยเงินฝาก คงในระดับไม่ถึง 4% (ฝากประจำ24 เดือน)

โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของพอร์ตลงทุน 9 หลัก วิเคราะห์เรื่องนี้ให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า ความผันผวนของสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือทองคำ ถือเป็นเรื่องปกติ การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนักลงทุน

อยาก ชนะความผันผวน ข้อมูลต้องแน่น ถ้ามั่นใจจะกลัวทำไม!!

หุ้น-ทองคำจะขึ้นหรือลง หากคุณไม่ยึดติดในเรื่องของ ราคามากไปกว่าความมั่นใจในข้อมูล ลงทุนอย่างไรก็ได้ กำไรเชื่อสิ!! หลักการลงทุนแนว VI เราไม่เคยสนใจราคามากไปกว่าพื้นฐาน วีไอของจริงมักซื้อหุ้นตอนมีข่าวร้ายชั่วคราวและขายหุ้นช่วงมี ข่าวดีชั่วคราวเช่น มีกำไรจากรายการพิเศษ เป็นต้น

โจ ลูกอีสาน นามแฝงในเว็บไซต์ Thaivi ถือโอกาสแนะนำมือใหม่ที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ว่า คุณควรลงทุนในตลาดหุ้น 100% แบ่งเป็นลงทุนด้วยตัวเอง 50% ที่เหลืออีก 50% นำไปลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ

ถามว่าทำไมถึงให้น้ำหนักไปในฝั่งตลาดหุ้น? จะเล่าสถิติให้ฟัง ตลอด 38 ปี นับตั้งแต่ตลาดหุ้นก่อตั้งในปี 2518 “หุ้นไทยให้ผลตอบแทน 94 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 12-13% ต่อปี

ขณะที่ ทองคำให้ผลตอบแทน 7 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 5% ต่อปี ส่วนเงินฝากให้ผลตอบแทนในช่วง 10 ปี ประมาณ 10 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 6% ต่อปี และ พันธบัตรสร้างผลตอบแทน 26 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 8-9% ต่อปี

ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว!!

เขา พูดต่อว่า สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรลงทุนในตลาดหุ้น 50-60% ที่เหลือควรนำไปลงทุนสินทรัพย์ทางเลือก อาทิ ที่ดิน และบ้านเช่า เป็นต้น ตามสถิติราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่เหมือคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่ค่อยขยับเผลอๆลดลงอีกต่างหาก เพราะมีสินค้าใหม่ๆออกทุกปี ขณะที่คอนโดมิเนียมเก่ามีแต่ปัญหาให้ต้องตามแก้ไขไม่หยุดหย่อน ฉะนั้นไม่แนะนำลงทุนคอนโดมิเนียมเด็ดขาด

"คุณดูคนต่างจังหวัดสิเป็น เศรษฐีที่ดินกันเยอะมาก ขายที่ดินได้ที รวยเป็นสิบล้าน มันจะมีงานที่ไหนสร้างเงินให้เรามากมายขนาดนี้ เคยมี เซียนหุ้น VI” ท่านหนึ่ง ชื่อ ลุงโกศลบอกว่าคนอายุมากควรมีรายได้ 3 ทาง คือ เงินปันผล ค่าเช่า และดอกเบี้ย แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยต่ำเหลือเกิน ฉะนั้น 2 ทางเลือกแรกน่าจะเหมาะสำหรับคนที่มีอายุเลยเลข 4 ขึ้นไป"

ลงทุนแบบฉบับนี้ น่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยไม่ต่ำ 12% แต่ต้องซื้อเฉลี่ยซื้อนะอย่าลงตูมเดียว

นพ.บุญ วนาสิน ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี ในฐานะนักลงทุนรุ่นลายคราม มองว่า ประเทศไทยยังคงเป็นเมืองน่าลงทุนของ ต่างชาติทั้งในตลาดหุ้น ตราสารหนี้ และพันธบัตร เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังเติบโตดี เห็นได้จากเงินทุนที่ยังคงไหลเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อยจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็ตาม แต่ก็ยังคงเข้ามาไม่ขาดสาย

วันนี้นักลงทุนยังคงพุ่งเป้าหมายไปยังจุดหมายเดียวกัน นั่นคือ ตลาดหุ้น ฉะนั้นยังคงแนะนำให้นักลงทุนใส่เงินไปในตลาดหุ้น แม้จะผันผวนบ้างก็ตาม

 ท่ามกลางความผันผวนของหลายๆสินทรัพย์ แนะนำการลงทุนอย่างไร? หมอบุญ บอกว่า นักลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงได้ในระดับ สูงให้ลงทุนในหุ้นประมาณ 70-80% อีก 20-30% ถือเป็นเงินสด ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ที่ประมาณ 10%

สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับ ปานกลางควรลงทุนในตลาดหุ้น 60% และอีก 40% ให้ถือเงินสด ผลตอบแทนจะอยู่ประมาณ 8-9% ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับ ต่ำให้เล่นหุ้น 50% และถือเงินสด 50% ผลตอบแทนน่าจะอยู่ประมาณ 7-8%

นักลงทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้เลยให้ไปลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่มีความเสี่ยง ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ระดับ 5-6% ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดี

ถามถึงตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง เขาบอกว่า ยังคงอยู่ในภาวะ ผันผวนไปอีก 1-2 เดือน ดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ แต่คงไม่ หวือหวาเหมือนต้นปีที่ผ่านมา ฉะนั้นยังลงทุนในตลาดหุ้นได้ เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนนิดหนึ่ง เน้นหุ้นที่พื้นฐานดีๆ หุ้นขนาดเล็กๆ ที่ราคาขึ้นไปสูงๆ ไม่ต้องหันไปมองเลย ให้ดูหุ้นที่พื้นฐานดี ผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรต้องเติบโต

SET INDEX สิ้นปี มีโอกาสยืน 1,630 จุด!!

แต่ต้องไม่มีปัจจัยทางการเมืองที่รุนแรง เพราะเรื่องนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าตลาดหุ้นไทยจะไปในทิศทางไหน ปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐอเมริกา ยังต้องจับตาดูด้วย

เซียนหุ้นรุ่นใหญ่อัพเดทพอร์ตลงทุนของตนเองให้ฟังว่า สัดส่วนการลงทุนยังอยู่ในตลาดหุ้นเป็นหลักประมาณ 70% และถือเงินสด 30%

"ผมเริ่มลดการลงทุนมาตั้งแต้นปีแล้ว ตอนนี้มูลค่าการลงทุนไม่ถึงหลักร้อยล้านบาทตั้งใจจะปล่อยออกอีกครึ่งหนึ่งของพอร์ต แต่ตอนนี้แอบกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมนิดหน่อย เน้นซื้อพื้นฐานดี ปันผลเยอะๆ"

ภาวะแบบนี้ไม่ควรลงทุน ทองคำเด็ดขาด เพราะว่าราคาทองคำยังอยู่ในช่วง ผันผวนอีกยาว คาดว่าจะตลอดทั้งปี 56 ราคาทองคำขึ้นอยู่กับคนเพียงไม่กี่คนประมาณ 50-60 คน หากคนเหล่านี้ขายทองออกมาราคาก็จะร่วง แต่หากเขาซื้อราคาก็จะขึ้น แถมเรายังต้องนั่งหวาดระแวงอีกว่าประเทศไหนจะขายทองออกมาอีกไหม และยังต้องรอดูสถานการณ์ยุโรปอีกว่า เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร หากไม่ดีอาจมีกลุ่มประเทศในยุโรปขายทองออกมาอีก

ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ผู้เผยแพร่การลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกของเมืองไทย บอกว่า ขอแนะนำนักลงทุนให้บริหารพอร์ตลงทุนด้วยการกระจายความเสี่ยง ในพอร์ตลงทุนควรมีทั้งหุ้น ทองคำ และพันธบัตร หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ในการลงทุนทองคำจะมีในพอร์ตลงทุนก็ได้หรือจะไม่มีก็ไม่มีปัญหา เพราะว่าผลตอบแทนจากทองคำไม่มาก

ข้อดีของ ทองคำคือ เมื่อเกิดวิกฤติมูลค่าทองจะไม่ลดลงมาก ไม่เหมือนตลาดหุ้น หากเกิดวิกฤติมูลค่าหุ้นจะลดลงครึ่งหนึ่งทันที

 "ผมขอแบ่งหลักการลงทุนออกเป็น 3 ช่วง คือ นักลงทุนที่มีความเสี่ยงในระดับ สูงอายุยังน้อย มีเงินลงทุนเยอะให้ลงทุนในตลาดหุ้น 100% คาดว่าจะให้ผลตอบแทนปีละ10% นักลงทุนที่รับความเสี่ยงในระดับ ปานกลางให้ลงทุนในตลาดหุ้น 20-30% ลงทุนในพันธบัตร หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ 60-70% หรือถือเป็นเงินสด 50-60% ผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณปีละ 5-6%"

นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับ ต่ำควรลงทุนในตลาดหุ้นในสัดส่วนน้อยๆ ไม่เกิน 10-20% ที่เหลือให้เก็บเป็นเงินฝากธนาคาร หรือลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ประมาณ 3-4%

ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ถือว่าไม่ได้ผันผวนมาก ยังอยู่ในระดับปกติ เมื่อตลาดหุ้นขึ้นไปเยอะๆ ก็ต้องลดลงบ้างเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาตลาดหุ้นลดลงมา 100 จุด ตอนนี้ดัชนีอยู่ที่ 1,589 จุด มองว่าครึ่งปีหลังตลาดหุ้นยังปรับเพิ่มขึ้นอีก 6-7% หรือขึ้นไปอีก 100 จุด ก็ถือว่าเป็น ปีทองของตลาดหุ้นไทยแล้วที่ดัชนีปรับขึ้นมาสูงติดต่อกัน 2 ปี

ดอกเตอร์ย้ำว่า ทุกวันนี้พอร์ตลงทุนของตัวเองยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ยังคงเน้นลงทุนหุ้นระยะยาว ผมไม่ค่อยปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตลงทุนเท่าไหร่ เพราะถือแต่ละตัวนาน 3-4 ปี หรือบางตัวครอบครองยาวถึง 7-8 ปี

พีรเจต สุวรรณนภาศรีประธานกรรมการบริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ (UIC) ในฐานะนักลงทุนวีไอรายใหญ่ บอกว่า ท่ามกลางความผันผวนเช่นนี้ ขอแนะนำนักลงทุนให้เข้ามาในตลาดหุ้นมากกว่าตลาดทุนอื่นๆ เพราะว่าตลาดหุ้นยัง สดใสปีนี้ยังเป็น ปีทอง

หุ้นไทยมีโอกาสยืนระดับ 1,700 จุด!!

ไม่แนะนำให้ลงทุนในตลาด ทองคำเพราะว่าเห็นสัญญาณราคาทองคำมีทิศทาง ขาลงมาตั้งแต่ปีก่อน ราคาทองมีโอกาสปรับลดลงมาอยู่ระดับประมาณ 12,000 บาท

 สถานการณ์เช่นนี้ นักลงทุนควรบริหารพอร์ตลงทุนให้ดี สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้สูงควรลงทุนในตลาดหุ้น 30-40% หรือถ้าชอบเสี่ยงมากๆ ให้ลงไป 100% เน้นหุ้นเทิร์นอะราวด์แต่มีข้อแม้ว่า ต้องเลือกหุ้นที่สามารถเทิร์นอะราวด์ได้จริง โดยให้ไปดูที่ผลประกอบการ ดูวิสัยทัศน์ผู้บริหารว่าบริษัทมีแผนลงทุนในอนาคตเป็นยังไงบ้าง สามารถกลับมาเทิร์นอะราวด์ได้จริงหรือเปล่า ผลตอบแทนจากการลงทุนลักษณะนี้อาจสูงถึง 100% ต่อปี

ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับ ปานกลางให้ลงหุ้น 30% ที่เหลือให้ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์ หรือพันธบัตร และเก็บเงินสดไว้บางส่วน และนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ต่ำให้ลงทุนในตลาดหุ้นสัดส่วนเพียง 20% ลงทุนในพันธบัตร หรือกองทุน 10-15% ส่วนที่เหลือให้ถือเป็นเงินสด

ส่วนตัวชอบลงทุนที่มี เทิร์นอะราวด์ในระดับสูง ยกตัวอย่าง ปีก่อนเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่ม วัสดุก่อสร้างเป็นหุ้นที่ผลประกอบการไม่ดี แต่มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ เลยเข้าไปลงทุน ผลตอบแทนกลับมาตอนนี้เกิน 100% แล้ว

พลังงาน ส่งออก เหล็กไม่แนะนำให้เข้าไปลงทุน

เสี่ยป๋องวัชระ แก้วสว่างเซียนหุ้นเทคนิคผู้นำศาสตร์ฮวงจุ้ยมาเสริมพลังในการลงทุนหุ้น แสดงความคิดเห็นว่า กรุณาอย่าไปเสี่ยงในตลาดทองคำเพราะว่าตลาดทองคำยังเป็นช่วง ขาลงตลาดทองในอนาคตจะไม่ให้ผลตอบแทนอะไรเลย ตอบไม่ได้ว่าราคาทองจะกลับขึ้นมาอยู่จุดไหน เพราะว่าราคาค่อนข้างผันผวน

"คุณนำเงินมาใส่ในตลาดหุ้นน่าจะดีกว่า!!" นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับสูงให้ลงทุนในตลาดหุ้นไปเลย 100% ผลตอบแทนน่าจะอยู่ 20% ส่วนรับความเสี่ยงได้ ปานกลางและ ต่ำก็ให้เลือกหุ้นที่พื้นฐานดีๆ ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง และจ่ายเงินปันผลดี

ตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง มีโอกาสสัมผัส นิวไฮระดับ 1,700 จุด

ถามเรื่องนี้กับ กูรูทองคำ” “บุญเลิศ สิริภัทรวณิชประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ที.ซี.ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด บอกว่า ตลาดทองคำในครึ่งปีหลังน่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก แต่ไม่ "หวือหวา" เหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา มองว่าราคาสูงสุด 1,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ น่าจะอยู่ในช่วง 6 เดือนแรก

ครึ่งปีหลังราคาทองอาจอยู่ในกรอบ 1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองลงมาอยู่ในกรอบ 1,320-1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทองมีโอกาสลดลงมาอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์

เขา แนะนำนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุน ทองคำว่า หากมองสถานการณ์ราคาทองในระยะยาวยังคงเชียร์ให้ ซื้อลงทุนแต่อย่าหวัง ผลตอบแทนในระดับสูง เชื่อว่าคงจะไม่เห็น ผลกำไรในระดับสูงเหมือนในอดีต

นักลงทุนควรบริหารพอร์ตลงทุนให้มีการลงทุนในทองคำอยู่ด้วย เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง อย่างน้อยควรมีทองสัก 10% ซึ่งจะช่วยให้พอร์ตลงทุนดูดี ที่เหลือเป็นหุ้น 80% อสังหาริมทรัพย์ หรือพันธบัตร อีก 10%

 ด้าน อัพธนพิศาล คูหาเปรมกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์โกลเบล็ก จำกัด (GBS) แนะว่า นักลงทุน ไม่ควรเข้ามาลงทุนตลาดทอง เนื่องจากทุกฝ่ายยังมองว่าเป็น ขาลงรอบใหญ่ของตลาดทอง และทองยังมีความผันผวนในระดับสูง แต่ยังมองว่าปลายปีนี้ ราคาทองมีโอกาสขึ้นไปยืนระดับเดียวกับต้นปี

ฉะนั้นการลงทุนหลัก ควรอยู่ในตลาดหุ้นเป็นหลัก แม้ว่าจะผันผวนบ้าง แต่ก็ยังมีข่าวดีรออยู่ โดยเฉพาะผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/56 ที่หลายบริษัทเตรียมประกาศข่าวดี ตอนนี้กลุ่มธนาคารเริ่มทยอยประกาศแล้ว แต่การเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นต้องเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีๆ

ดัชนีครึ่งปีหลังน่าจะยืน 1,650 -1,700 จุด

นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ สูงให้เลือกลงทุนในตลาดหุ้นเป็นหลักในสัดส่วน 80-90% เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่ดีของตลาดหุ้น ถ้าเลือกหุ้นที่ดี ผลตอบแทนจะอยู่ 10-15% ที่เหลือให้ลงทุนในตลาดทองและพันธบัตร ตราสารหนี้ ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ปานกลางให้ลงตลาดหุ้น 40% พันธบัตร-ตราสารหนี้ 30% ตลาดทอง 30%ผลตอบแทน 6-7%

ส่วนกลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ ต่ำกรุณาลงทุนในหุ้นเพียง 10-20% ตลาดทอง 10-20% ที่เหลือลงกองทุน พันธบัตร หรือตราสารหนี้ที่ไม่มีความเสี่ยง ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ที่ 4-5%

 ทรงวุฒิ อภิรักษ์ขิต กรรมการผู้จัดการ โกลเบล็ก โฮลดิ้ง แมนเนจเม้นท์บอกว่า อยากให้นักลงทุนติดตามราคาทองระหว่างวันอย่างต่อเนื่อง เพราะว่าทิศทางยังเป็น ขาลงออกแนวผันผวนมาก เพราะยังคงมีความกังวลเกี่ยวกับหนี้สินในกลุ่มยูโรโซน อาทิ ข่าวไซปรัสขายทองคำที่เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศออกมา เพื่อระดมเงิน 400 ล้านยูโร และยังมีความกังวลว่าประเทศอื่นๆ ที่มีขนาดใหญ่กว่าไซปรัสอาจมีการขายทองคำออกมาอีก รวมทั้งสหรัฐอเมริกาอาจจะหยุดออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ฉะนั้นนักลงทุนควรลงทุนใน ตลาดหุ้นมากกว่า เพราะว่าภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกยังน่าสนใจ ดัชนีน่าจะปรับไปยืน 1,600 จุด ดังนั้นให้สัดส่วนหุ้นไปเลย 50% ตลาดทอง 25% ที่เหลือเป็นตราสารหนี้ หรือพันธบัตรอีก 25% ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ ต่ำก็ไปซื้อพันธบัตร หรือตราสารหนี้

ต้นเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการสายงานการเงินบุคคล บล.กสิกรไทย (KS) ย้ำว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นผันผวน ราคาทองร่วง และดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ "สูง" ควรเลือกลงทุนในตลาดหุ้น 70-80% อีก 20-30% ให้ซื้อพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้

นักลงทุนที่มีความเสี่ยง ปานกลางก็ลงทุนตลาดหุ้น 50% ที่เหลือไปลงทุนในตราสารหนี้ หรือพันธบัตร 50% ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ ต่ำให้ซื้อหุ้น 30% และที่เหลือเป็นตราสารหนี้ หรือพันธบัตร 70%

ตลาด ทองคำนักลงทุนควรลงทุนในสัดส่วนน้อยๆ เพราะว่าราคาทองคำน่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างเร็วในต้นปี 2557 ช้าสุดครึ่งปีหลังของปีหน้า ราคาทองจะฟื้นตัวต้องรอสินค้าจำพวกโภคภัณฑ์ฟื้นก่อน ขณะเดียวกันเศรษฐกิจต้องฟื้น GDP โลกต้องมาจริงๆ เงินเฟ้อสูง

 ช่วงนี้นักลงทุนเริ่ม โยกย้ายกลุ่มลงทุน โดยการหันมาลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้า Community อาทิ พลังงาน โรงกลั่น ปิโตรเคมี เพราะมีแววจะเริ่มฟื้นตัวจากเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัว ปัญหายุโรปคลี่คลาย หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีของประเทศอิตาลีเรียบร้อย ดังนั้นสินค้าเหล่านี้จะกลับมา เห็นชัดเจนน่าจะครึ่งปีหลัง หุ้นกลุ่มพวกนี้ยังมีค่า P/E ต่ำ

หุ้นไทยสิ้นปี 1,700 จุด ทุกคนคงได้เห็น

"ผมอิงจากค่าP/E ระดับ 15 เท่า ดัชนีจะได้รับปัจจัยเชิงบวกจากอัตราเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) รวมถึงสภาพคล่องทางการเงินของโลกที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี สิ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ คือ ประเทศญี่ปุ่น จะเร่งพิมพ์ธนบัตรออกมา เพราะต้องการให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.5%จากปัจจุบันที่มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ

เราอาจเห็นการทำ YenCarry Trade หรือกู้ยืมเงินเยน เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง ถือเป็นการเก็งกำไรค่าเงินจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย ซึ่งไทยจะได้รับอานิสงส์ เพราะพันธบัตรระยะสั้นของไทยมีอัตราดอกเบี้ยมากกว่าภูมิภาค ทำให้เม็ดเงินใหม่จากญี่ปุ่นไหลเข้ามาลงทุนยังไทย รวมถึงลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกด้วย

เขา แนะนำการลงทุนว่า กลุ่ม วัสดุก่อสร้างที่ยังเป็น พระเอกรองลงมาเป็นกลุ่ม สื่อสารที่เกี่ยวข้องกับการประมูล 3 G และหุ้นที่กำลังประมูลทีวีดิจิทัล ส่วนหุ้นต่างประเทศ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ พลังงาน ปิโตรเคมี โรงกลั่น

"ป๋อง" สุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิม เอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET บอกว่า ในช่วงตลาดหุ้น ทอง และพันธบัตร อยู่ในภาวะผันผวน นักลงทุนควรบริหารพอร์ตลงทุนตัวเองให้ดี โดยตลาดหุ้นยังเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุด

 ใครรับความเสี่ยงได้ สูงควรลงทุนในหุ้น 60-70% เพราะว่าราคาหุ้นยังมีอัพไซด์ ผลตอบแทนน่าจะอยู่ 8-10% ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ ปานกลางเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นสัดส่วน 50% และลงทุนในพันธบัตร หรือตราสารหนี้ 50% ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ 4-5%

 นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ ต่ำควรลงทุนในหุ้นเพียง 10% เน้นกลุ่ม บลูชิพที่เหลือให้ไปซื้อตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำหรือไม่มีความเสี่ยงเลย ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ที่ 2-3% ตามอัตราเงินเฟ้อ หรืออาจชนะเงินเฟ้อเล็กน้อย

เขามองทิศทางตลาดหุ้นในครึ่งปีหลังของปี 2556 ว่า ยังคงตกอยู่ในภาวะ ผันผวนอาจมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีหลายปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง หากรุนแรงจะไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น ทุกคนต้องรอดูว่าโครงการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท จะผ่านไปได้ไหม ด้านปัจจัยบวกก็รับรู้ไปหมดแล้วในช่วงครึ่งปีแรก

รวมๆทิศทางหุ้นไทยยังคงเป็น ขาขึ้นคงได้เห็นดัชนี 1,700 จุด

ป๋องทิ้งท้ายว่า ตลาด ทองคำอยู่ในภาวะผันผวน คาดว่าจะผันผวนสักระยะ แต่ตอนนี้เริ่มเห็นการฟื้นตัวจาก 1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็น 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ฉะนั้นนักลงทุนที่จะเข้ามา เก็งกำไรต้องระมัดระวัง และติดตามราคาทองอย่างใกล้ชิด

ราคาทองปลายปี 56 น่าจะยืน 1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์!!

โดย : ชาลินี กุลแพทย์ , ดาริน โชสูงเนิน

http://bit.ly/ZZUnCz

วันที่ 6 พฤษภาคม 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น