9
กูรู"บูมเชียร์" หุ้นไทย ทองคำ“ไม่เจ๋ง”อย่ายุ่ง
มีเงิน แต่คิดไม่ตกว่าสินทรัพย์ใดหนอ
จะสร้างผลตอบแทนคุ้มค่า บนความผันผวน ตลาดทุน-ทอง-ค่าบาท-ดอกเบี้ย
กูรูฟันธง"ตลาดหุ้น" ยังน่าสนใจที่สุด
“ทองลง หุ้นผันผวน บาทแข็ง ดอกเบี้ยต่ำ” สถานการณ์เยี่ยงนี้
“เม่าน้อยมือใหม่” คงมืดแปดหน้า “มีเงิน” แต่ไม่รู้จะ “ต่อยอดเงิน”
ในสินทรัพย์ประเภทใด ทุกตลาดพร้อมใจ “ตก”อยู่ในอาการ “ผันผวน” เกินคาดเดา
ในมุม
“ตลาดหุ้น” เมื่อต้นปีที่ผ่านมา เหล่ากูรูออกมาตบโต๊ะทำนาย
SET INDEX 1,700 จุด สิ้นปีนี้ ได้เห็นแน่!!
หลังสร้างสถิติสูงสุดรายวัน ล่าสุดปิดตลาด “สูงสุด”1,598
จุด (15 มี.ค.56) ยิ้มได้ไม่นาน
ดัชนีก็ทยอยปรับตัวลดลงมาแตะ “จุดต่ำสุด”1,470 จุด ในช่วงเดือนเม.ย.
“เซียนทองคำ” ออกมาฟันธงเอาใจ “แฟนพันธุ์แท้”
คุณมีโอกาสสัมผัสราคา 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์!!
สุดท้ายเจอแรงเทขายทองคำของไซปรัส ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้ในช่วงวันที่ 12-16
เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกอ่อนตัวลงกว่า 200 เหรียญต่อออนซ์
ส่วน
“ค่าเงินบาท” ในช่วง 3 เดือนผ่านมา
(ก.พ.-เม.ย.) แข็งค่าไปแล้วประมาณ 6-7% สูงสุดในภูมิภาค
จากระดับ 29.81 บาทต่อดอลลาร์ในเดือนก.พ.56 มาอยู่ที่ 29.74 บาท ในเดือนมี.ค.และ 29.23 บาท ก่อนจะลงลึกไปแตะ 28.54 บาทในเดือนเม.ย.และขยับเป็น
29.28 บาท
“ค่าบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อไปจาก 3 ปัจจัย
เศรษฐกิจที่ดีของเอเซียและอาเซียน สภาพคล่องทั้งในสหรัฐ
ยุโรปและญี่ปุ่นไหลกลับเข้ามาลงทุน และแรงกดดันจากการเก็งกำไรที่เข้ามาสมทบ”
คำทำนายของ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL)
ด้าน
ดอกเบี้ยเงินฝาก คงในระดับไม่ถึง 4% (ฝากประจำ24 เดือน)
“โจ" อนุรักษ์
บุญแสวง นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
เจ้าของพอร์ตลงทุน 9 หลัก วิเคราะห์เรื่องนี้ให้ “กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า
ความผันผวนของสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือทองคำ ถือเป็นเรื่องปกติ การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนักลงทุน
อยาก
“ชนะ” ความผันผวน ข้อมูลต้องแน่น
ถ้ามั่นใจจะกลัวทำไม!!
“หุ้น-ทองคำ” จะขึ้นหรือลง หากคุณไม่ยึดติดในเรื่องของ
“ราคา” มากไปกว่าความมั่นใจในข้อมูล
ลงทุนอย่างไรก็ได้ “กำไร” เชื่อสิ!!
หลักการลงทุนแนว VI เราไม่เคยสนใจราคามากไปกว่าพื้นฐาน
วีไอของจริงมักซื้อหุ้นตอนมี “ข่าวร้ายชั่วคราว” และขายหุ้นช่วงมี “ข่าวดีชั่วคราว” เช่น มีกำไรจากรายการพิเศษ เป็นต้น
“โจ ลูกอีสาน” นามแฝงในเว็บไซต์ Thaivi
ถือโอกาสแนะนำมือใหม่ที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี
ว่า คุณควรลงทุนในตลาดหุ้น 100% แบ่งเป็นลงทุนด้วยตัวเอง 50%
ที่เหลืออีก 50% นำไปลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ
ถามว่าทำไมถึงให้น้ำหนักไปในฝั่งตลาดหุ้น? จะเล่าสถิติให้ฟัง
ตลอด 38 ปี นับตั้งแต่ตลาดหุ้นก่อตั้งในปี 2518 “หุ้นไทย” ให้ผลตอบแทน 94 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น
12-13% ต่อปี
ขณะที่
“ทองคำ” ให้ผลตอบแทน 7 เท่า
หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 5% ต่อปี ส่วน “เงินฝาก” ให้ผลตอบแทนในช่วง 10 ปี ประมาณ 10 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 6%
ต่อปี และ “พันธบัตร” สร้างผลตอบแทน
26 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 8-9% ต่อปี
ช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว!!
เขา
พูดต่อว่า สำหรับนักลงทุนมือใหม่ที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ควรลงทุนในตลาดหุ้น
50-60% ที่เหลือควรนำไปลงทุนสินทรัพย์ทางเลือก อาทิ ที่ดิน และบ้านเช่า
เป็นต้น ตามสถิติราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี ไม่เหมือคอนโดมิเนียมที่ราคาไม่ค่อยขยับเผลอๆลดลงอีกต่างหาก
เพราะมีสินค้าใหม่ๆออกทุกปี ขณะที่คอนโดมิเนียมเก่ามีแต่ปัญหาให้ต้องตามแก้ไขไม่หยุดหย่อน
ฉะนั้นไม่แนะนำลงทุนคอนโดมิเนียมเด็ดขาด
"คุณดูคนต่างจังหวัดสิเป็น “เศรษฐีที่ดิน” กันเยอะมาก ขายที่ดินได้ที “รวย” เป็นสิบล้าน มันจะมีงานที่ไหนสร้างเงินให้เรามากมายขนาดนี้ เคยมี “เซียนหุ้น VI” ท่านหนึ่ง ชื่อ “ลุงโกศล” บอกว่าคนอายุมากควรมีรายได้ 3 ทาง คือ เงินปันผล ค่าเช่า และดอกเบี้ย แต่ปัจจุบันดอกเบี้ยต่ำเหลือเกิน
ฉะนั้น 2 ทางเลือกแรกน่าจะเหมาะสำหรับคนที่มีอายุเลยเลข 4
ขึ้นไป"
ลงทุนแบบฉบับนี้
น่าจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ยไม่ต่ำ 12% แต่ต้องซื้อเฉลี่ยซื้อนะอย่าลงตูมเดียว
“นพ.บุญ วนาสิน” ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี
ในฐานะนักลงทุนรุ่นลายคราม มองว่า ประเทศไทยยังคงเป็นเมืองน่าลงทุนของ “ต่างชาติ” ทั้งในตลาดหุ้น ตราสารหนี้ และพันธบัตร
เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจยังเติบโตดี เห็นได้จากเงินทุนที่ยังคงไหลเข้ามาจำนวนมาก แม้ว่าจะลดลงเล็กน้อยจากช่วงต้นปีที่ผ่านมาก็ตาม
แต่ก็ยังคงเข้ามาไม่ขาดสาย
วันนี้นักลงทุนยังคงพุ่งเป้าหมายไปยังจุดหมายเดียวกัน
นั่นคือ ตลาดหุ้น ฉะนั้นยังคงแนะนำให้นักลงทุนใส่เงินไปในตลาดหุ้น
แม้จะผันผวนบ้างก็ตาม
สำหรับคนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับ
“ปานกลาง” ควรลงทุนในตลาดหุ้น 60% และอีก 40% ให้ถือเงินสด ผลตอบแทนจะอยู่ประมาณ 8-9%
ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับ “ต่ำ”
ให้เล่นหุ้น 50% และถือเงินสด 50% ผลตอบแทนน่าจะอยู่ประมาณ 7-8%
นักลงทุนที่ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้เลยให้ไปลงทุนในตราสารหนี้
หรือพันธบัตรรัฐบาลที่ไม่มีความเสี่ยง ซึ่งผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ระดับ 5-6% ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ดี
ถามถึงตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง
เขาบอกว่า ยังคงอยู่ในภาวะ “ผันผวน” ไปอีก
1-2 เดือน ดัชนีน่าจะปรับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ แต่คงไม่ “หวือหวา” เหมือนต้นปีที่ผ่านมา ฉะนั้นยังลงทุนในตลาดหุ้นได้
เพียงแต่ต้องเลือกลงทุนนิดหนึ่ง เน้นหุ้นที่พื้นฐานดีๆ หุ้นขนาดเล็กๆ
ที่ราคาขึ้นไปสูงๆ ไม่ต้องหันไปมองเลย ให้ดูหุ้นที่พื้นฐานดี ผลประกอบการทั้งรายได้และกำไรต้องเติบโต
SET
INDEX สิ้นปี มีโอกาสยืน 1,630 จุด!!
แต่ต้องไม่มีปัจจัยทางการเมืองที่รุนแรง
เพราะเรื่องนี้จะเป็นตัวบ่งบอกว่าตลาดหุ้นไทยจะไปในทิศทางไหน ปัจจัยภายนอกอย่างเศรษฐกิจยุโรป
และสหรัฐอเมริกา ยังต้องจับตาดูด้วย
“เซียนหุ้นรุ่นใหญ่” อัพเดทพอร์ตลงทุนของตนเองให้ฟังว่า
สัดส่วนการลงทุนยังอยู่ในตลาดหุ้นเป็นหลักประมาณ 70% และถือเงินสด
30%
"ผมเริ่มลดการลงทุนมาตั้งแต้นปีแล้ว ตอนนี้มูลค่าการลงทุนไม่ถึงหลัก
“ร้อยล้านบาท” ตั้งใจจะปล่อยออกอีกครึ่งหนึ่งของพอร์ต
แต่ตอนนี้แอบกลับเข้ามาลงทุนเพิ่มเติมนิดหน่อย เน้นซื้อพื้นฐานดี ปันผลเยอะๆ"
ภาวะแบบนี้ไม่ควรลงทุน
“ทองคำ” เด็ดขาด เพราะว่าราคาทองคำยังอยู่ในช่วง “ผันผวน” อีกยาว คาดว่าจะตลอดทั้งปี 56 ราคาทองคำขึ้นอยู่กับคนเพียงไม่กี่คนประมาณ 50-60 คน
หากคนเหล่านี้ขายทองออกมาราคาก็จะร่วง แต่หากเขาซื้อราคาก็จะขึ้น แถมเรายังต้องนั่งหวาดระแวงอีกว่าประเทศไหนจะขายทองออกมาอีกไหม
และยังต้องรอดูสถานการณ์ยุโรปอีกว่า เศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร หากไม่ดีอาจมีกลุ่มประเทศในยุโรปขายทองออกมาอีก
“ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร” ผู้เผยแพร่การลงทุนแบบเน้นคุณค่าคนแรกของเมืองไทย
บอกว่า ขอแนะนำนักลงทุนให้บริหารพอร์ตลงทุนด้วยการกระจายความเสี่ยง ในพอร์ตลงทุนควรมีทั้งหุ้น
ทองคำ และพันธบัตร หรือกองทุนอสังหาริมทรัพย์ แต่ในการลงทุนทองคำจะมีในพอร์ตลงทุนก็ได้หรือจะไม่มีก็ไม่มีปัญหา
เพราะว่าผลตอบแทนจากทองคำไม่มาก
ข้อดีของ
“ทองคำ” คือ เมื่อเกิดวิกฤติมูลค่าทองจะไม่ลดลงมาก
ไม่เหมือนตลาดหุ้น หากเกิดวิกฤติมูลค่าหุ้นจะลดลงครึ่งหนึ่งทันที
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับ
“ต่ำ” ควรลงทุนในตลาดหุ้นในสัดส่วนน้อยๆ ไม่เกิน 10-20%
ที่เหลือให้เก็บเป็นเงินฝากธนาคาร หรือลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์
ผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ประมาณ 3-4%
ตลาดหุ้นไทยตอนนี้ ถือว่าไม่ได้ “ผันผวน” มาก ยังอยู่ในระดับปกติ เมื่อตลาดหุ้นขึ้นไปเยอะๆ ก็ต้องลดลงบ้างเป็นเรื่องปกติ ที่ผ่านมาตลาดหุ้นลดลงมา 100 จุด ตอนนี้ดัชนีอยู่ที่ 1,589 จุด มองว่าครึ่งปีหลังตลาดหุ้นยังปรับเพิ่มขึ้นอีก 6-7% หรือขึ้นไปอีก 100 จุด ก็ถือว่าเป็น “ปีทอง” ของตลาดหุ้นไทยแล้วที่ดัชนีปรับขึ้นมาสูงติดต่อกัน 2 ปี
“ดอกเตอร์” ย้ำว่า ทุกวันนี้พอร์ตลงทุนของตัวเองยังเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ยังคงเน้นลงทุนหุ้นระยะยาว ผมไม่ค่อยปรับเปลี่ยนหุ้นในพอร์ตลงทุนเท่าไหร่ เพราะถือแต่ละตัวนาน
3-4 ปี หรือบางตัวครอบครองยาวถึง 7-8 ปี
“พีรเจต สุวรรณนภาศรี” ประธานกรรมการบริหาร บมจ.ยูเนี่ยน อินทราโก้ (UIC) ในฐานะนักลงทุนวีไอรายใหญ่ บอกว่า ท่ามกลางความผันผวนเช่นนี้ ขอแนะนำนักลงทุนให้เข้ามาในตลาดหุ้นมากกว่าตลาดทุนอื่นๆ เพราะว่าตลาดหุ้นยัง “สดใส” ปีนี้ยังเป็น “ปีทอง”
หุ้นไทยมีโอกาสยืนระดับ
1,700 จุด!!
ไม่แนะนำให้ลงทุนในตลาด
“ทองคำ” เพราะว่าเห็นสัญญาณราคาทองคำมีทิศทาง “ขาลง” มาตั้งแต่ปีก่อน
ราคาทองมีโอกาสปรับลดลงมาอยู่ระดับประมาณ 12,000 บาท
ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ระดับ
“ปานกลาง” ให้ลงหุ้น 30% ที่เหลือให้ลงทุนในกองทุนอสังหาริมทรัพย์
หรือพันธบัตร และเก็บเงินสดไว้บางส่วน และนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ “ต่ำ” ให้ลงทุนในตลาดหุ้นสัดส่วนเพียง 20% ลงทุนในพันธบัตร หรือกองทุน 10-15% ส่วนที่เหลือให้ถือเป็นเงินสด
ส่วนตัวชอบลงทุนที่มี
“เทิร์นอะราวด์” ในระดับสูง ยกตัวอย่าง ปีก่อนเข้าไปลงทุนในหุ้นกลุ่ม
“วัสดุก่อสร้าง” เป็นหุ้นที่ผลประกอบการไม่ดี
แต่มีโอกาสที่จะกลับมาเป็นหุ้นเทิร์นอะราวด์ เลยเข้าไปลงทุน ผลตอบแทนกลับมาตอนนี้เกิน
100% แล้ว
“พลังงาน ส่งออก เหล็ก” ไม่แนะนำให้เข้าไปลงทุน
“เสี่ยป๋อง” วัชระ
แก้วสว่าง “เซียนหุ้นเทคนิค” ผู้นำศาสตร์
“ฮวงจุ้ย” มาเสริมพลังในการลงทุนหุ้น
แสดงความคิดเห็นว่า กรุณาอย่าไปเสี่ยงใน “ตลาดทองคำ” เพราะว่าตลาดทองคำยังเป็นช่วง “ขาลง” ตลาดทองในอนาคตจะไม่ให้ผลตอบแทนอะไรเลย
ตอบไม่ได้ว่าราคาทองจะกลับขึ้นมาอยู่จุดไหน เพราะว่าราคาค่อนข้างผันผวน
"คุณนำเงินมาใส่ในตลาดหุ้นน่าจะดีกว่า!!" นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ในระดับสูงให้ลงทุนในตลาดหุ้นไปเลย
100% ผลตอบแทนน่าจะอยู่ 20% ส่วนรับความเสี่ยงได้
“ปานกลาง” และ “ต่ำ”
ก็ให้เลือกหุ้นที่พื้นฐานดีๆ ผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง และจ่ายเงินปันผลดี
ตลาดหุ้นครึ่งปีหลัง
มีโอกาสสัมผัส “นิวไฮ” ระดับ 1,700 จุด
ถามเรื่องนี้กับ
“กูรูทองคำ” “บุญเลิศ สิริภัทรวณิช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ที.ซี.ออสสิริส ฟิวเจอร์ส จำกัด บอกว่า ตลาดทองคำในครึ่งปีหลังน่าจะปรับเพิ่มขึ้นอีก
แต่ไม่ "หวือหวา" เหมือนช่วงต้นปีที่ผ่านมา มองว่าราคาสูงสุด 1,670
ดอลลาร์ต่อออนซ์ น่าจะอยู่ในช่วง 6 เดือนแรก
ครึ่งปีหลังราคาทองอาจอยู่ในกรอบ
1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากราคาทองลงมาอยู่ในกรอบ 1,320-1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ราคาทองมีโอกาสลดลงมาอยู่ที่ 1,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์
เขา
แนะนำนักลงทุนที่จะเข้ามาลงทุน “ทองคำ” ว่า
หากมองสถานการณ์ราคาทองใน “ระยะยาว” ยังคงเชียร์ให้
“ซื้อลงทุน” แต่อย่าหวัง “ผลตอบแทน” ในระดับสูง เชื่อว่าคงจะไม่เห็น “ผลกำไร” ในระดับสูงเหมือนในอดีต
นักลงทุนควรบริหารพอร์ตลงทุนให้มีการลงทุนในทองคำอยู่ด้วย
เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยง อย่างน้อยควรมีทองสัก 10% ซึ่งจะช่วยให้พอร์ตลงทุนดูดี
ที่เหลือเป็นหุ้น 80% อสังหาริมทรัพย์ หรือพันธบัตร อีก 10%
ฉะนั้นการลงทุนหลัก
ควรอยู่ในตลาดหุ้นเป็นหลัก แม้ว่าจะผันผวนบ้าง แต่ก็ยังมีข่าวดีรออยู่
โดยเฉพาะผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 1/56 ที่หลายบริษัทเตรียมประกาศข่าวดี
ตอนนี้กลุ่มธนาคารเริ่มทยอยประกาศแล้ว แต่การเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นต้องเลือกหุ้นที่มีพื้นฐานดีๆ
ดัชนีครึ่งปีหลังน่าจะยืน
1,650
-1,700 จุด
นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้
“สูง” ให้เลือกลงทุนในตลาดหุ้นเป็นหลักในสัดส่วน
80-90% เพราะว่าปีนี้เป็นปีที่ดีของตลาดหุ้น ถ้าเลือกหุ้นที่ดี
ผลตอบแทนจะอยู่ 10-15% ที่เหลือให้ลงทุนในตลาดทองและพันธบัตร
ตราสารหนี้ ส่วนนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ “ปานกลาง”
ให้ลงตลาดหุ้น 40% พันธบัตร-ตราสารหนี้
30% ตลาดทอง 30%ผลตอบแทน 6-7%
ส่วนกลุ่มที่รับความเสี่ยงได้
“ต่ำ” กรุณาลงทุนในหุ้นเพียง 10-20% ตลาดทอง 10-20% ที่เหลือลงกองทุน พันธบัตร
หรือตราสารหนี้ที่ไม่มีความเสี่ยง ประเมินผลตอบแทนจากการลงทุนน่าจะอยู่ที่ 4-5%
ฉะนั้นนักลงทุนควรลงทุนใน
“ตลาดหุ้น” มากกว่า เพราะว่าภาวะตลาดหุ้นทั่วโลกยังน่าสนใจ
ดัชนีน่าจะปรับไปยืน 1,600 จุด ดังนั้นให้สัดส่วนหุ้นไปเลย 50%
ตลาดทอง 25% ที่เหลือเป็นตราสารหนี้ หรือพันธบัตรอีก
25% ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ “ต่ำ”
ก็ไปซื้อพันธบัตร หรือตราสารหนี้
“ต้น” เผดิมภพ
สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการสายงานการเงินบุคคล บล.กสิกรไทย
(KS) ย้ำว่า สถานการณ์ตลาดหุ้นผันผวน ราคาทองร่วง
และดอกเบี้ยต่ำ นักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้ "สูง"
ควรเลือกลงทุนในตลาดหุ้น 70-80% อีก 20-30% ให้ซื้อพันธบัตร หรือ ตราสารหนี้
นักลงทุนที่มีความเสี่ยง
“ปานกลาง” ก็ลงทุนตลาดหุ้น 50% ที่เหลือไปลงทุนในตราสารหนี้
หรือพันธบัตร 50% ส่วนคนที่รับความเสี่ยงได้ “ต่ำ” ให้ซื้อหุ้น 30% และที่เหลือเป็นตราสารหนี้
หรือพันธบัตร 70%
ตลาด
“ทองคำ” นักลงทุนควรลงทุนในสัดส่วนน้อยๆ เพราะว่าราคาทองคำน่าจะเริ่มฟื้นตัวอย่างเร็วในต้นปี
2557 ช้าสุดครึ่งปีหลังของปีหน้า
ราคาทองจะฟื้นตัวต้องรอสินค้าจำพวกโภคภัณฑ์ฟื้นก่อน ขณะเดียวกันเศรษฐกิจต้องฟื้น GDP
โลกต้องมาจริงๆ เงินเฟ้อสูง
หุ้นไทยสิ้นปี 1,700 จุด ทุกคนคงได้เห็น
"ผมอิงจากค่าP/E ระดับ 15 เท่า ดัชนีจะได้รับปัจจัยเชิงบวกจากอัตราเติบโตของกำไรต่อหุ้น
(EPS Growth) รวมถึงสภาพคล่องทางการเงินของโลกที่อยู่ในเกณฑ์ที่ดี
สิ่งที่สำคัญในการขับเคลื่อนสภาพคล่องในระบบเศรษฐกิจ คือ ประเทศญี่ปุ่น จะเร่งพิมพ์ธนบัตรออกมา
เพราะต้องการให้อัตราเงินเฟ้อสูงขึ้นมาอยู่ในระดับ 2.5%จากปัจจุบันที่มีอัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ
เราอาจเห็นการทำ
YenCarry
Trade หรือกู้ยืมเงินเยน เพื่อนำไปลงทุนในสินทรัพย์สกุลเงินที่ให้ผลตอบแทนสูง
ถือเป็นการเก็งกำไรค่าเงินจากส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ย
ซึ่งไทยจะได้รับอานิสงส์ เพราะพันธบัตรระยะสั้นของไทยมีอัตราดอกเบี้ยมากกว่าภูมิภาค
ทำให้เม็ดเงินใหม่จากญี่ปุ่นไหลเข้ามาลงทุนยังไทย รวมถึงลงทุนในตลาดหุ้นไทยอีกด้วย
เขา
แนะนำการลงทุนว่า กลุ่ม “วัสดุก่อสร้าง” ที่ยังเป็น “พระเอก”
รองลงมาเป็นกลุ่ม “สื่อสาร” ที่เกี่ยวข้องกับการประมูล 3 G และหุ้นที่กำลังประมูลทีวีดิจิทัล
ส่วนหุ้นต่างประเทศ แนะนำให้ลงทุนในหุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ อาทิ พลังงาน
ปิโตรเคมี โรงกลั่น
"ป๋อง" สุกิจ
อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ และหัวหน้าฝ่ายวิจัย
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิม เอ็ง (ประเทศไทย) หรือ MBKET บอกว่า ในช่วงตลาดหุ้น ทอง และพันธบัตร อยู่ในภาวะผันผวน นักลงทุนควรบริหารพอร์ตลงทุนตัวเองให้ดี
โดยตลาดหุ้นยังเป็นตลาดที่น่าสนใจมากที่สุด
เขามองทิศทางตลาดหุ้นในครึ่งปีหลังของปี
2556 ว่า ยังคงตกอยู่ในภาวะ “ผันผวน” อาจมากกว่าครึ่งปีแรก เนื่องจากมีหลายปัจจัยกดดัน โดยเฉพาะเรื่องการเมือง หากรุนแรงจะไม่เป็นผลดีต่อตลาดหุ้น
ทุกคนต้องรอดูว่าโครงการลงทุน 2.2 ล้านล้านบาท จะผ่านไปได้ไหม
ด้านปัจจัยบวกก็รับรู้ไปหมดแล้วในช่วงครึ่งปีแรก
รวมๆทิศทางหุ้นไทยยังคงเป็น
“ขาขึ้น” คงได้เห็นดัชนี 1,700 จุด
“ป๋อง” ทิ้งท้ายว่า ตลาด “ทองคำ”
อยู่ในภาวะผันผวน คาดว่าจะผันผวนสักระยะ แต่ตอนนี้เริ่มเห็นการฟื้นตัวจาก
1,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เป็น 1,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ฉะนั้นนักลงทุนที่จะเข้ามา “เก็งกำไร” ต้องระมัดระวัง
และติดตามราคาทองอย่างใกล้ชิด
ราคาทองปลายปี 56 น่าจะยืน
1,520 ดอลลาร์ต่อออนซ์!!
โดย
: ชาลินี กุลแพทย์ ,
ดาริน โชสูงเนิน
http://bit.ly/ZZUnCz
วันที่
6 พฤษภาคม 2556
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น