วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556



บทเรียนจากกรุงปราก

โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วงสงกรานต์ ผมได้ไปท่องเที่ยว สาธารณรัฐเช็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงปราก ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ และเช่นเคย นอกจากความบันเทิงหย่อนใจแล้ว

ผมมัก วิเคราะห์ ถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นไป สถานะปัจจุบัน และคิดไปถึงอนาคตว่าประเทศหรือดินแดนที่กำลังเดินอยู่นั้น จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่มันคงไม่มีความหมายมากนัก หากผมจะไม่โยงมาว่าข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเมืองปรากนั้นมันมีความหมายอะไรกับเมืองไทย ลองมาดูกัน

ข้อแรกที่เห็นคือ กรุงปรากนั้นดูเหมือนจะยังเป็นเมือง โบราณ เพราะอาคารบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นตึกเก่าที่อาจจะสร้างมาแล้วหลายร้อยปี หรือบางแห่งอาจจะเป็นพันปี ตึกเหล่านี้สวยงามเต็มไปด้วยศิลปะ แต่ที่สำคัญยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และแน่นอนว่าทุกอย่างภายในอาคาร มีการปรับปรุงใส่เครื่องมืออุปกรณ์ของโลกสมัยใหม่ ที่ทำให้มันทันสมัยมีประสิทธิภาพในการอยู่อาศัยและทำงานในโลกสมัยใหม่

ข้อนี้ถ้าจะพูดไปมีความละม้ายคล้ายกับเมืองหลวงของหลายประเทศในยุโรป ที่มีการอนุรักษ์อาคารและของเก่าๆ ไว้ ซึ่งผลพลอยได้ที่สำคัญคือ ทำให้เมืองสวยและน่าท่องเที่ยว ความแตกต่างของกรุงปรากเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ในยุโรป คือปรากนั้นแทบไม่มีตึกสูงเลย และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็ไม่แออัด นี่ทำให้ปรากเป็นเมือง สบาย ๆ ที่ดูผ่อนคลาย

เมืองอาจจะไม่มีอะไรที่ ยิ่งใหญ่ ระดับโลก แต่มีทุกอย่างครบ ไล่ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ของโบฮีเมียน ไปจนถึงการแสดงละครเวทีและโอเปร่าชั้นนำและพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่มากมาย สถานที่ชอปปิงของที่ระลึกสวยงามน่าสนใจ ทำให้การท่องเที่ยวน่าจะเป็นรายได้หลักอย่างหนึ่งของเช็ก

สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งอย่างหนึ่ง เมื่อเดินตามสถานที่ท่องเที่ยวของปราก คือ ร้านนวดแบบไทยซึ่งเสนอการนวดทุกประเภท เช่น นวดแผนโบราณ นวดน้ำมันหรือนวดฝ่าเท้า โดยพนักงานที่ผมดูแล้วน่าจะเป็นคนไทย ที่เดินทางไปจากเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่ ราคาค่านวดนั้นถ้าใช้มาตรฐานของฝรั่งแล้วถือว่าไม่แพง ราคาเริ่มต้นอาจจะ 300-400 บาทไทย ไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก เพียงแต่เวลาอาจจะสั้นกว่า

สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งนั้นไม่ใช่ว่าเจอร้านนวดไทย แต่ทึ่งเพราะมันมีค่อนข้างมากเห็นทั่วไปหมด คิดว่าร้านนวดนั้นน่าจะเป็นเป็นธุรกิจที่ดีมากในเมืองท่องเที่ยวแถบประเทศยุโรปที่มีอากาศหนาวเย็น ที่คนเดินเที่ยวกันมากจะรู้สึกเมื่อยอยากพักนวด การที่มีร้านนวดแบบไทยที่นักท่องเที่ยว ทั่วโลก เห็นและคุ้นเคยนั้น ผมคิดว่าเป็น ทรัพย์สิน ที่ประเทศไทยควรใช้ให้เป็นประโยชน์

ผมมองไปว่าธุรกิจการนวดนั้นเราน่าจะทำให้มันเป็น ธุรกิจใหญ่ ที่ไทยสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพในประเทศและสามารถส่งออกได้ทั่วโลกตามเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ผมเองยัง ฝัน ว่าน่าจะมีบริษัทที่มุ่งมั่นทำร้านนวดไทยให้เติบโตสามารถนำเข้ามาจดทะเบียนในตลาดหุ้นที่ผมจะซื้อหุ้นลงทุนได้ด้วย

ข้อสังเกตเรื่องที่สองทำให้ผมรู้สึกทึ่ง คือ ได้มีโอกาสใช้บริการคนขับรถของสถานทูตไทยในกรุงปราก เขาเป็นคนหนุ่มอายุน่าจะสัก 30 เศษๆ หน้าตาดีการศึกษาน่าจะดีด้วย ผมไม่รู้ว่ารายได้เขาเป็นอย่างไร แต่คงเดือนละหลายหมื่นบาทตามอัตราค่าแรงของคนขับรถในประเทศที่ เจริญแล้ว อย่าง เช็ก

ผมทึ่งเพราะเขาสามารถพูดได้หลายภาษาซึ่งแน่นอนรวมถึงภาษาอังกฤษที่พูดได้คล่องแคล่ว สามารถอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับนักท่องเที่ยวหรืองานอื่น ๆ ที่ นาย จะใช้ เช่น จองตั๋วดูคอนเสิร์ต แนะนำและพาไปแหล่งท่องเที่ยวหรือร้านอาหารที่น่าสนใจได้ ว่าที่จริงเขาคงทำได้อีกหลาย ๆ อย่างรวมถึงการ รับแขก

การแต่งตัวของเขานั้นดูดีเท่าๆ กับหรือดีกว่าเราที่เป็นแขกซะอีก เมื่อได้คุยกันเขาบอกว่าเขาชอบเมืองไทยมากและมาพักผ่อนที่ประเทศไทยทุกปี ปีละครั้งโดยการเก็บเงินจากรายได้พิเศษเช่นค่าโอทีจากการขับรถ เป็นต้น และนี่คือสิ่งที่ผม ทึ่ง ที่ว่าพนักงานขับรถของสถานทูตไทยในเช็กนั้น สามารถเที่ยวเมืองไทยได้ทุกปี แต่พนักงานขับรถสถานทูตเช็กในไทยนั้น ผมเชื่อว่าไม่สามารถไปเที่ยวเช็กได้ อย่าว่าแต่ทุกปีเลย

ประเด็นคือ ถ้าเราเชื่อว่างานอย่างเดียวกันน่าจะมีคุณค่าเท่ากันหรือใกล้เคียงกันไม่ว่าจะอยู่ในประเทศไหน พนักงานขับรถไทยน่า

จะสามารถไปเที่ยวต่างประเทศไกล ๆ ได้ซักปีละครั้งตามพนักงานขับรถเช็ก แต่นี่ไม่ใช่ ดังนั้น อาจแปลว่า คนขับรถเช็กมีหรือได้รับคุณค่าสูงเกินไป หรือถ้าจะพูดแบบนักลงทุน เรียกว่า Over Valued หรือไม่คนขับรถไทยได้รับคุณค่าหรือเงินรายได้น้อยเกินไป หรือถ้าพูดแบบหุ้นก็คือ Under Valued

แต่อาจมีคนเถียงว่า คุณภาพ ของคนขับรถเช็กนั้น สูงกว่าคนขับรถไทยมาก เนื่องจากเหตุผลข้างต้นที่บอกว่าคนขับรถเช็กนั้นสามารถทำอะไรต่างๆ ได้เหนือกว่าคนขับรถไทยมาก ดังนั้น ราคา ของคนขับรถเช็กนั้นสมเหตุผลแล้วเช่นเดียวกับคนขับรถไทยที่ทำงานอย่างอื่นไม่ค่อยได้นอกจากขับรถ

ในความรู้สึกของผมที่ต้องวิ่งหาคนขับรถที่บ้านในเมืองไทยอยู่เรื่อย ๆ เพราะคนขับรถมักจะไม่อยู่นาน เพราะเขาอยากไปขับแท็กซี่หรือหางานอื่นทำ แต่ในเวลาเดียวกัน คนขับรถที่เช็กนั้น เมื่อได้งานแล้วมักจะต้อง เกาะไว้ให้แน่น เพราะงานแบบนี้อาจจะหายากโดยเฉพาะในยามที่เศรษฐกิจกำลังตกต่ำลงเรื่อย ๆ

มองโดยเปรียบเทียบแล้ว คนขับรถเช็กน่าจะ Over Value กว่าคนขับรถไทย และถ้าเป็นหุ้น เราคงต้อง Switch หรือขายหุ้นคนขับรถเช็ก และมาซื้อหุ้นคนขับรถไทย เพราะในที่สุดแล้ว ทุกอย่างต้องวิ่งไปสู่ พื้นฐาน ความหมายคือ ในอนาคต คนขับรถเช็กอาจมาเที่ยวเมืองไทยได้น้อยลง อาจจะ 2 ปีครั้ง ขณะที่คนขับรถไทยอาจไปเที่ยวเช็กได้ 3 ปีต่อครั้ง

 ที่ยกเรื่องคนขับรถมาพูดนั้น เพื่อจะนำไปสู่ภาพใหญ่ที่ว่า ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร ก็น่าจะมีความสัมพันธ์คล้าย ๆ กันนั่นคือคนเช็กอาจจะบริโภคได้น้อยลงเมื่อเทียบกับคนไทย ถ้ามองจากตัวเลขคือเศรษฐกิจเช็กจะโตช้ากว่าเศรษฐกิจไทยไปเรื่อยๆ ในระยะเวลาหนึ่ง หรือไม่ค่าเงินเช็กอาจปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับเงินบาท ทำให้คนเช็กมาเที่ยวเมืองไทยได้น้อยลง

ขณะที่คนไทยไปเที่ยวเช็กได้มากขึ้น และสุดท้ายคือ ประเทศไทยอาจกลายเป็น ประเทศพัฒนาแล้ว ใกล้เคียงกับเช็กโดยที่รายได้หลักของไทยอาจมาจากอุตสาหกรรมที่หลากหลายรวมถึงการท่องเที่ยว และมีชื่อเสียงด้านการเป็นประเทศให้บริการ นวด ที่โดดเด่นคล้ายๆ อิตาลีที่มีเรื่องแฟชั่น หรือฝรั่งเศสมีไวน์เป็นสินค้าโดดเด่น ขณะที่เช็กเองยังคงโดดเด่นเรื่องการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมบางอย่าง เช่น นาโนเทคโนโลยีหรือการแพทย์บางด้าน เป็นต้น

สุดท้ายที่ผมไม่ใคร่ได้เห็นในกรุงปราก คือ เรื่องข่าวและความเคลื่อนไหวของธุรกิจและตลาดหุ้น ตามร้านหนังสือซึ่งผมมักจะต้องแวะเยี่ยมเยือนทุกเมืองที่ไป หนังสือเกี่ยวกับธุรกิจและหุ้นดูเหมือนจะมีน้อย ซึ่งแตกต่างจากกรุงเทพฯที่มีหนังสือหุ้นออกใหม่หรือแม้แต่เก่าได้รับความนิยมสูง

หรือแม้แต่ประเทศในเอเชียอย่างสิงคโปร์ หรือ มาเลเซีย ที่ผมไป มักพบว่าชั้นที่เกี่ยวกับธุรกิจและหุ้นจะมีหนังสือดังอยู่พอสมควร และนี่ทำให้ผมสรุปว่า เมืองไทยยังเป็นประเทศที่กำลังเติบโตคึกคักและน่าจะโตต่อไปพอสมควร และนี่ก็เอื้ออำนวยต่อการลงทุน โดยเฉพาะของชาว VI ทั้งหลาย

วันที่ 7 พฤษภาคม 2556

http://bit.ly/16PkqAQ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น