วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

Megatrend โลก

แนวโน้มใหญ่ หรือ Megatrend ของโลก จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวที่ต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป


และน่าจะเป็นอย่างนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปี และต่อไปนี้ คือ สิ่งที่ผมเห็น
Megatrend แรกที่ดำเนินมายาวนาน น่าจะหลายสิบปี และจะดำเนินต่อไปอีกนานมาก ก็คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 2 ด้าน นั่นก็คือ เทคโนโลยีด้าน IT และการสื่อสารแบบเคลื่อนที่ กับเทคโนโลยีด้านชีวภาพ หรือ Biotech นี่คือเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ารวดเร็ว จนเราตามแทบไม่ทัน

ด้านของ IT เราส่วนใหญ่อาจจะได้ยินได้เห็น และได้ใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ อาจจะมีคนไม่มากที่ได้สัมผัสกับมันโดยตรง   อย่างไรก็ตาม  ผลกระทบก็อาจจะมีมากพอๆ  กับเรื่องของ IT เพราะหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์  ตัวอย่างเช่น  เทคโนโลยีเกี่ยวกับยาและการแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนทำให้การรักษาโรคที่ร้ายแรงในอดีต  สามารถทำได้ดีขึ้นมากในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้

Megatrend ที่สอง ก็คือ เรื่องของ Wealth หรือความมั่งคั่งของคนในโลก  นี่เป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องยาวนาน  ในอดีตนั้น  การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นในประเทศที่เจริญกว่า  แต่ในปัจจุบันความมั่งคั่งมักเพิ่มขึ้นเร็วกว่าในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะที่มีประชากรมากหรือมีทรัพยากรมาก  ความมั่งคั่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ  ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวกับเงินซึ่งรวมถึงระบบธนาคารและการบริหารเงินและกองทุนรวมเติบโตต่อเนื่องระยะยาว  และแน่นอน  ส่งผลต่อราคาหุ้นโดยเฉพาะในประเทศที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
 

Megatrend ที่สาม คือ เรื่องของโครงสร้างอายุของประชากรในโลกที่เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว  อายุเฉลี่ยของประชากรโลกน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  เพราะเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงในขณะที่คนก็มีอายุยืนขึ้น  โดยที่ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น  ผลกระทบ ก็คือ  ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและคนสูงอายุน่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ 
 

วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555

This Time Is Different (ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่น ๆ)

หนังสือเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจการเงินที่น่าสนใจเล่มหนึ่ง
คือหนังสือ "This Time Is Different (ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่น ๆ)"

เขียนโดยศาสตราจารย์ Kenneth Rogoff แห่งมหาวิทยาลัย Harvard (และเป็นอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ) และศาสตราจารย์ Carmen Reinhart แห่งมหาวิทยาลัย Maryland ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2009 โดยสาระสำคัญคือการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจการเงินที่เกิดขึ้นในรอบ 800 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือข้อมูลโบราณสมัยที่ยังใช้เหรียญเงิน เหรียญทอง ก็นำเอามารวบรวมเอาไว้ และพยายามวิเคราะห์หาข้อสรุปให้ครบถ้วนที่สุด โดยรวมทั้งวิกฤตในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา

ข้อสรุปของหนังสือเล่มนี้คือวิกฤตต่าง ๆ ในรอบ 800 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างจะมีความคล้ายคลึงกันทั้งในเชิงของสาเหตุและผลกระทบ ในกรณีของต้นตอของปัญหานั้นสรุปได้ว่าเกิดจากการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นมากจนเกินตัว (leverage) ซึ่งเป็นผลมาจากความมั่นใจจนเกินไปบวกกับความโลภที่มีอยู่ก่อนแล้ว) ทำให้กล้าเสี่ยงลงทุนจนผลักดันให้ราคาสินทรัพย์สูงเกินปัจจัยพื้นฐาน (เกิดฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ เช่น ราคาบ้าน) จนก่อให้เกิดปัญหาในที่สุด แต่หากรากเหง้าของปัญหาคือฟองสบู่ในสินทรัพย์ซึ่งแตกสลายลง แล้วทำให้เกิดวิกฤตการเงินและสถาบันการเงิน (financial and banking crisis) ผลพวงที่จะตามมาจากการวิเคราะห์ข้อมูล 800 ปีที่กล่าวถึงสรุปได้ดังนี้

1.ราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและยาวนาน (deep and prolonged) กล่าวคือโดยเฉลี่ยราคาบ้านปรับลดลง 35% โดยอาศัยเวลาปรับตัวยาวนาน 6 ปี ในขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 56% ในระยะเวลาประมาณ 3.5 ปี

2.อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นประมาณ 7% (เช่น กรณีสหรัฐเคยมีอัตราการว่างงาน 5-6% แต่ปัจจุบันอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 10% แล้ว) โดยจะอยู่ที่ระดับสูงยาวนาน 4 ปี ในขณะที่จีดีพีจะปรับลดลงได้ประมาณ 9% จากจุดสูงสุดมาถึงจุดต่ำสุด (เช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจดีมาก เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3% และในช่วงที่ตกต่ำที่สุดจะติดลบ 6%) โดยเศรษฐกิจจะตกต่ำอยู่ประมาณ 2 ปี จะเห็นว่าปัญหาการว่างงานยืดเยื้อกว่ามาก

วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

GEN Y แห่เล่นหุ้น ฝันเป็น 'นายตัวเอง'

ดอกเบี้ยเงินฝากที่แพ้เงินเฟ้อ ภาพนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น กระตุ้นให้ Gen Y แห่เล่นหุ้น โดยมีเส้นชัยที่ความมั่งคั่งเป็นนายตัวเอง


 ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์ ชุมชนนักลงทุนบนโลกออนไลน์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ให้ความเห็นว่า แน่นอน!! คนรุ่นใหม่สนใจหุ้นมากขึ้น แต่ส่วนตัวอยากให้ตีความของคำว่า GEN Y ให้ครอบคลุมถึงคนอายุไม่เกิน 35 ปี รวมถึงคนที่อายุเยอะหน่อยแต่มีความคิดทันสมัยก็สามารถถูกเรียกให้อยู่ในกลุ่มนี้ได้ด้วย

คนกลุ่มนี้มีความคิดว่าต้องลงทุนเพราะสถานการณ์ของโลกเปลี่ยนไป อัตราดอกเบี้ยเงินฝากถูกเงินเฟ้อกดดัน หากไม่ลงทุนก็จะมีเงินไม่พอใช้

กล่าวได้ว่า อินเทอร์เน็ตคือตัวเร่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจการเล่นหุ้นมากขึ้น และเรียนรู้เรื่องหุ้นได้เร็วขึ้น
อย่างที่สต็อกทูมอร์โรว์มุ่งเน้น คือ การสร้างภาพของ ไอดอลด้านการลงทุน หรือแม้แต่สื่ออื่นๆ ก็มีการเผยแพร่เรื่องราวของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้คนต้องการจะต้องจะเข้ามาเล่นหุ้นเพื่อประสบความสำเร็จบ้าง และเริ่มเข้าสู่ช่องทางอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลและไปฟังงานสัมมนาต่างๆ

 “ข้อสังเกตอีกหนึ่งข้อ คือ คนรุ่นใหม่มีความอดทนต่ำกับการทำงานเป็นลูกจ้างในองค์กร เลยต้องหาทางออกด้วยการเป็นนักลงทุน มองว่าอาชีพเทรดเดอร์ดูเท่ อิสระ เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ อนาคตผมเชื่อว่าจะเห็นคน GEN Y เป็นนักลงทุนในระดับแสนคนและอนาคตไกลกว่านั้นจะเยอะกว่านี้อีก

 ข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยังยืนยันด้วยว่าจำนวนบัญชีที่เปิดกับโบรกเกอร์มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น โดยปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีบัญชีเทรดหุ้นรวม 3 แสนบัญชี เฉลี่ยเปิดบัญชีใหม่ 3-4 หมื่นบัญชีต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มจะขึ้นไปถึงระดับ 4-5 หมื่นบัญชีใหม่ต่อปี ได้ไม่ยาก เขาบอก

 นอกจากนี้ 6ปีที่แล้วจะเห็นคนวัย 40-50 ปีที่มาเข้าร่วม แต่ตอนนี้มีตั้งแต่วัย 22-50 ปี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ปีต้นๆ และเมื่อก่อนเป็นผู้ชาย 70% ตอนนี้ลดลงเหลือ 60% แสดงว่าผู้หญิงเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นด้วย

Role Model เซียนหุ้น GEN Y ภาววิทย์ กลิ่นประทุม - สถาพร งามเรืองพงศ์”

Role Model เซียนหุ้น GEN Y “ภาววิทย์ กลิ่นประทุม - สถาพร งามเรืองพงศ์


สองนักลงทุนหนุ่มที่กำลังมาแรง อุทิศเวลาให้กับการเผยแพร่แนวความคิดด้านการลงทุนที่ถูกต้องให้กับแฟนคลับนักลงทุนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก

ประวัติ "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เป็นหลาน วีระ รมยะรูปอดีตกรรมการและผู้ร่วมก่อตั้ง ธนาคารกรุงเทพ (เพิ่งเสียชีวิต) นอกจากแพทจะงานประจำที่แบงก์กรุงเทพในฐานะผู้ดูแลโครงการทายาทธุรกิจ เขายังมีอีกบทบาทหนึ่งในฐานะนักลงทุนแนวหุ้นคุณค่า (วีไอ) และเป็นเจ้าของหนังสือขายดีระดับเบสท์เซลเลอร์ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้านที่พิมพ์ออกมาแล้วสามเล่ม ล่าสุดที่เพิ่งวางแผงคือ คลินิกหุ้นมือใหม่” 
นอกจากนี้ เขายังเป็นวิทยากรแนะนำการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานให้กับคอร์สอบรมที่จัดขึ้นโดยเว็บไซต์สต็อก ทูมอร์โรว์ สิ่งที่ แพทเขียนลงไปในหนังสือคือ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ระดับ 1,700 จุด  ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียที่กำลังจะเป็น Asian Miracle รอบที่สอง คนที่ฉลาดโดยเฉพาะกลุ่ม GEN Y จึงมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้จากตลาดหุ้น เพื่อที่จะไม่ตกขบวนรถไฟรอบใหญ่นี้ เขามีความตั้งใจที่จะเสริมความรู้ด้านการลงทุนให้กับกลุ่ม GEN Y คนรุ่นเดียวกับเขาให้มีความ ฉลาดที่จะไม่ตกเป็นแมลงเม่าง่ายๆ โดยเจ้าตัวให้ความมั่นใจว่าใครก็ตามที่สามารถอยู่รอดในตลาดหุ้นได้ถึง 20 ปีย่อมมีโอกาสสร้างความรวยได้แน่นอน
ตอนนี้คนรุ่นใหม่สนใจลงทุนในหุ้นมากขึ้น ทำให้สนใจที่จะศึกษาหาความรู้ด้านนี้มากขึ้นทั้งทางปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์กิจการ รวมถึงการใช้เครื่องมือทางเทคนิค
เขาบอกว่า ช่วงแรกของการลงทุนในตลาดหุ้นสนใจแต่แนวทางแวลูอินเวสเตอร์อย่างเดียว แต่พอได้มารู้จักเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์ ทำให้ได้เรียนรู้แนวทางการลงทุนในหลากหลายมิติมากขึ้น เช่น  “หยง" ธำรงค์ชัย เอกอมรวงศ์ เทรดเดอร์ที่นิยมการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศ และ  "ปุย" ประกาศิต ทิตาราม เจ้าของกิจการที่เชี่ยวชาญการใช้ปัจจัยทางเทคนิค และต่อมาทั้งสองก็เป็นวิทยากรอบรมเรื่องการใช้เครื่องมือทางเทคนิคของเว็บไซต์ รวมถึงนักลงทุนหน้าใหม่เก่งๆ หลายคนมาช่วยกันโพสต์บทความที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนลงในเว็บไซต์

วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555

สินค้ามือสอง


ลาดสินค้า  “มือสอง”  ในประเทศไทยนั้น  คงต้องพูดว่ายังไม่พัฒนามากนักยกเว้นสินค้าบางอย่าง เช่น  รถยนต์  เหตุผลที่สำคัญส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเราไม่ใคร่มีบริษัทที่ตั้งใจหรือทุ่มเทในการที่จะเป็น ตัวกลาง”  ในการซื้อขายสินค้ามือสองอย่างจริงจัง   อีกเหตุผลหนึ่งที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ  คนไทยจำนวนไม่น้อยอาจจะมีความรู้สึกว่า   การใช้สินค้าที่  “ผ่านการใช้งานมาแล้วเป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์  เป็นเรื่องที่ เสียศักดิ์ศรี”  เป็นเรื่องที่จะทำให้ถูกมองว่า  “จน”  หรือบางทีก็อาจจะรู้สึกว่าสินค้านั้นอาจจะเคยเกิด  “สิ่งที่ไม่ดีมาก่อน  ด้วยเหตุผลเหล่านี้  ทำให้ราคาของสินค้ามือสองต่ำกว่า สินค้าใหม่”  มากแม้ว่าสินค้ามือสองบางชิ้นจะถูกใช้มาเพียงไม่กี่วัน  ไม่กี่เดือน  หรือไม่กี่ปี  สินค้ายังอยู่ในสภาพที่ดีเกือบ ๆ  เท่าสินค้าใหม่และอายุที่เหลือสำหรับการใช้งานยังยาวนานมาก   ว่าที่จริง  สินค้าบางชิ้นนั้น  ก็คือสินค้าใหม่นั่นเอง  เพียงแต่มันได้ผ่านการซื้อขายมาแล้ว  เจ้าของไม่ใช่บริษัทผู้ขายเท่านั้นเอง  ประเด็นอยู่ที่ว่า  ในแง่ของ  Value Investor  เราควรซื้อสินค้ามือสองในสินค้าแต่ละกลุ่มที่มีตลาดมือสองไหม?
             สินค้ามือสองกลุ่มแรกก็คือ  คอนโดมิเนียม  นี่คือสินค้าที่ผมคิดว่าน่าจะมีราคาถูกคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับคุณค่าของมัน   ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณปีสองปีที่แล้ว  ผมเคยสอบถามราคาคอนโดเก่าที่มีการประกาศขายย่านถนนพญาไทห่างจากสถานีรถไฟฟ้าและสวนสาธารณะเพียง 200 เมตร  แม้ว่าตัวอาคารจะสร้างมาแล้วกว่าสิบปีแต่เจ้าของเพิ่งตบแต่งห้องใหม่ดังนั้นสภาพของห้องชุดจึงดูดีและตัวอาคารก็น่าจะใช้ต่อไปได้อีกหลายสิบปี  และถึงแม้ว่าอาคารจะไม่มีสระว่ายน้ำแต่ก็มีห้องออกกำลังกายที่ค่อนข้างจะ ว่าง”  นอกจากนั้นที่จอดรถก็มีเหลือเฟือสำหรับเจ้าของทุกยูนิต   ดูไปแล้วนี่คือ ทำเลทอง”  ที่คนจะอาศัยอยู่ในเมืองและมีความสะดวกสบายทุกอย่างยกเว้นไม่มีสระว่ายน้ำ  ถ้าจะให้ผมคิดอย่างคร่าว ๆ   ถ้ามันเป็นคอนโดใหม่และตบแต่งพร้อมในทำเลแบบเดียวกันพร้อมสระว่ายน้ำ  ราคาขายคงจะตกประมาณไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไป   แต่ราคาที่เจ้าของเรียกก็คือ  ประมาณ 4-5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร

วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555

ตามรอยบัฟเฟตต์