แนวโน้มใหญ่ หรือ Megatrend ของโลก จะต้องเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางเดียวที่ต่อเนื่องยาวนานอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป
และน่าจะเป็นอย่างนั้นต่อไปอีกไม่น้อยกว่า 10 ปี และต่อไปนี้ คือ สิ่งที่ผมเห็น
Megatrend แรกที่ดำเนินมายาวนาน น่าจะหลายสิบปี และจะดำเนินต่อไปอีกนานมาก ก็คือ ความก้าวหน้าของเทคโนโลยี 2 ด้าน นั่นก็คือ เทคโนโลยีด้าน IT และการสื่อสารแบบเคลื่อนที่ กับเทคโนโลยีด้านชีวภาพ หรือ Biotech นี่คือเทคโนโลยีที่มีความก้าวหน้ารวดเร็ว จนเราตามแทบไม่ทัน
ด้านของ IT เราส่วนใหญ่อาจจะได้ยินได้เห็น และได้ใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ด้านเทคโนโลยีชีวภาพ อาจจะมีคนไม่มากที่ได้สัมผัสกับมันโดยตรง อย่างไรก็ตาม ผลกระทบก็อาจจะมีมากพอๆ กับเรื่องของ IT เพราะหลายเรื่องเกี่ยวข้องกับชีวิตมนุษย์ ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีเกี่ยวกับยาและการแพทย์ที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนทำให้การรักษาโรคที่ร้ายแรงในอดีต สามารถทำได้ดีขึ้นมากในปัจจุบันและต่อไปในอนาคตอันใกล้
Megatrend ที่สอง ก็คือ เรื่องของ Wealth หรือความมั่งคั่งของคนในโลก นี่เป็นแนวโน้มที่ต่อเนื่องยาวนาน ในอดีตนั้น การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจมักเกิดขึ้นในประเทศที่เจริญกว่า แต่ในปัจจุบันความมั่งคั่งมักเพิ่มขึ้นเร็วกว่าในประเทศกำลังพัฒนาโดยเฉพาะที่มีประชากรมากหรือมีทรัพยากรมาก ความมั่งคั่งที่มากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ธุรกิจเกี่ยวกับเงินซึ่งรวมถึงระบบธนาคารและการบริหารเงินและกองทุนรวมเติบโตต่อเนื่องระยะยาว และแน่นอน ส่งผลต่อราคาหุ้นโดยเฉพาะในประเทศที่มีความมั่งคั่งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
Megatrend ที่สาม คือ เรื่องของโครงสร้างอายุของประชากรในโลกที่เริ่มแก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว อายุเฉลี่ยของประชากรโลกน่าจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะเด็กเกิดใหม่มีอัตราลดลงในขณะที่คนก็มีอายุยืนขึ้น โดยที่ประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในประเทศเหล่านั้น ผลกระทบ ก็คือ ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพและคนสูงอายุน่าจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ
วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555
วันอาทิตย์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2555
This Time Is Different (ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่น ๆ)
หนังสือเกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจการเงินที่น่าสนใจเล่มหนึ่ง
คือหนังสือ "This Time Is Different (ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่น ๆ)"
เขียนโดยศาสตราจารย์ Kenneth Rogoff แห่งมหาวิทยาลัย Harvard (และเป็นอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ) และศาสตราจารย์ Carmen Reinhart แห่งมหาวิทยาลัย Maryland ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2009 โดยสาระสำคัญคือการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจการเงินที่เกิดขึ้นในรอบ 800 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือข้อมูลโบราณสมัยที่ยังใช้เหรียญเงิน เหรียญทอง ก็นำเอามารวบรวมเอาไว้ และพยายามวิเคราะห์หาข้อสรุปให้ครบถ้วนที่สุด โดยรวมทั้งวิกฤตในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา
ข้อสรุปของหนังสือเล่มนี้คือวิกฤตต่าง ๆ ในรอบ 800 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างจะมีความคล้ายคลึงกันทั้งในเชิงของสาเหตุและผลกระทบ ในกรณีของต้นตอของปัญหานั้นสรุปได้ว่าเกิดจากการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นมากจนเกินตัว (leverage) ซึ่งเป็นผลมาจากความมั่นใจจนเกินไปบวกกับความโลภที่มีอยู่ก่อนแล้ว) ทำให้กล้าเสี่ยงลงทุนจนผลักดันให้ราคาสินทรัพย์สูงเกินปัจจัยพื้นฐาน (เกิดฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ เช่น ราคาบ้าน) จนก่อให้เกิดปัญหาในที่สุด แต่หากรากเหง้าของปัญหาคือฟองสบู่ในสินทรัพย์ซึ่งแตกสลายลง แล้วทำให้เกิดวิกฤตการเงินและสถาบันการเงิน (financial and banking crisis) ผลพวงที่จะตามมาจากการวิเคราะห์ข้อมูล 800 ปีที่กล่าวถึงสรุปได้ดังนี้
1.ราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและยาวนาน (deep and prolonged) กล่าวคือโดยเฉลี่ยราคาบ้านปรับลดลง 35% โดยอาศัยเวลาปรับตัวยาวนาน 6 ปี ในขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 56% ในระยะเวลาประมาณ 3.5 ปี
2.อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นประมาณ 7% (เช่น กรณีสหรัฐเคยมีอัตราการว่างงาน 5-6% แต่ปัจจุบันอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 10% แล้ว) โดยจะอยู่ที่ระดับสูงยาวนาน 4 ปี ในขณะที่จีดีพีจะปรับลดลงได้ประมาณ 9% จากจุดสูงสุดมาถึงจุดต่ำสุด (เช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจดีมาก เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3% และในช่วงที่ตกต่ำที่สุดจะติดลบ 6%) โดยเศรษฐกิจจะตกต่ำอยู่ประมาณ 2 ปี จะเห็นว่าปัญหาการว่างงานยืดเยื้อกว่ามาก
คือหนังสือ "This Time Is Different (ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งอื่น ๆ)"
เขียนโดยศาสตราจารย์ Kenneth Rogoff แห่งมหาวิทยาลัย Harvard (และเป็นอดีตหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไอเอ็มเอฟ) และศาสตราจารย์ Carmen Reinhart แห่งมหาวิทยาลัย Maryland ซึ่งตีพิมพ์ในปี 2009 โดยสาระสำคัญคือการรวบรวมข้อมูลทั้งหมดเท่าที่มีอยู่เกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจการเงินที่เกิดขึ้นในรอบ 800 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือข้อมูลโบราณสมัยที่ยังใช้เหรียญเงิน เหรียญทอง ก็นำเอามารวบรวมเอาไว้ และพยายามวิเคราะห์หาข้อสรุปให้ครบถ้วนที่สุด โดยรวมทั้งวิกฤตในประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา
ข้อสรุปของหนังสือเล่มนี้คือวิกฤตต่าง ๆ ในรอบ 800 ปีที่ผ่านมา ค่อนข้างจะมีความคล้ายคลึงกันทั้งในเชิงของสาเหตุและผลกระทบ ในกรณีของต้นตอของปัญหานั้นสรุปได้ว่าเกิดจากการสร้างหนี้เพิ่มขึ้นมากจนเกินตัว (leverage) ซึ่งเป็นผลมาจากความมั่นใจจนเกินไปบวกกับความโลภที่มีอยู่ก่อนแล้ว) ทำให้กล้าเสี่ยงลงทุนจนผลักดันให้ราคาสินทรัพย์สูงเกินปัจจัยพื้นฐาน (เกิดฟองสบู่ในราคาสินทรัพย์ เช่น ราคาบ้าน) จนก่อให้เกิดปัญหาในที่สุด แต่หากรากเหง้าของปัญหาคือฟองสบู่ในสินทรัพย์ซึ่งแตกสลายลง แล้วทำให้เกิดวิกฤตการเงินและสถาบันการเงิน (financial and banking crisis) ผลพวงที่จะตามมาจากการวิเคราะห์ข้อมูล 800 ปีที่กล่าวถึงสรุปได้ดังนี้
1.ราคาสินทรัพย์จะปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงและยาวนาน (deep and prolonged) กล่าวคือโดยเฉลี่ยราคาบ้านปรับลดลง 35% โดยอาศัยเวลาปรับตัวยาวนาน 6 ปี ในขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวลดลง 56% ในระยะเวลาประมาณ 3.5 ปี
2.อัตราการว่างงานจะเพิ่มขึ้นประมาณ 7% (เช่น กรณีสหรัฐเคยมีอัตราการว่างงาน 5-6% แต่ปัจจุบันอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็น 10% แล้ว) โดยจะอยู่ที่ระดับสูงยาวนาน 4 ปี ในขณะที่จีดีพีจะปรับลดลงได้ประมาณ 9% จากจุดสูงสุดมาถึงจุดต่ำสุด (เช่น ในช่วงที่เศรษฐกิจดีมาก เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัว 3% และในช่วงที่ตกต่ำที่สุดจะติดลบ 6%) โดยเศรษฐกิจจะตกต่ำอยู่ประมาณ 2 ปี จะเห็นว่าปัญหาการว่างงานยืดเยื้อกว่ามาก
วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555
GEN Y แห่เล่นหุ้น ฝันเป็น 'นายตัวเอง'
ดอกเบี้ยเงินฝากที่แพ้เงินเฟ้อ ภาพนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น กระตุ้นให้ Gen Y แห่เล่นหุ้น โดยมีเส้นชัยที่ความมั่งคั่งเป็นนายตัวเอง
ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์ ชุมชนนักลงทุนบนโลกออนไลน์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ให้ความเห็นว่า แน่นอน!! คนรุ่นใหม่สนใจหุ้นมากขึ้น แต่ส่วนตัวอยากให้ตีความของคำว่า GEN Y ให้ครอบคลุมถึงคนอายุไม่เกิน 35 ปี รวมถึงคนที่อายุเยอะหน่อยแต่มีความคิดทันสมัยก็สามารถถูกเรียกให้อยู่ในกลุ่มนี้ได้ด้วย
คนกลุ่มนี้มีความคิดว่าต้องลงทุนเพราะสถานการณ์ของโลกเปลี่ยนไป อัตราดอกเบี้ยเงินฝากถูกเงินเฟ้อกดดัน หากไม่ลงทุนก็จะมีเงินไม่พอใช้
กล่าวได้ว่า “อินเทอร์เน็ต” คือตัวเร่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจการเล่นหุ้นมากขึ้น และเรียนรู้เรื่องหุ้นได้เร็วขึ้น
อย่างที่สต็อกทูมอร์โรว์มุ่งเน้น คือ การสร้างภาพของ “ไอดอล” ด้านการลงทุน หรือแม้แต่สื่ออื่นๆ ก็มีการเผยแพร่เรื่องราวของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้คนต้องการจะต้องจะเข้ามาเล่นหุ้นเพื่อประสบความสำเร็จบ้าง และเริ่มเข้าสู่ช่องทางอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลและไปฟังงานสัมมนาต่างๆ
“ข้อสังเกตอีกหนึ่งข้อ คือ คนรุ่นใหม่มีความอดทนต่ำกับการทำงานเป็นลูกจ้างในองค์กร เลยต้องหาทางออกด้วยการเป็นนักลงทุน มองว่าอาชีพเทรดเดอร์ดูเท่ อิสระ เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ อนาคตผมเชื่อว่าจะเห็นคน GEN Y เป็นนักลงทุนในระดับแสนคนและอนาคตไกลกว่านั้นจะเยอะกว่านี้อีก”
ข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยังยืนยันด้วยว่าจำนวนบัญชีที่เปิดกับโบรกเกอร์มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น โดยปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีบัญชีเทรดหุ้นรวม 3 แสนบัญชี เฉลี่ยเปิดบัญชีใหม่ 3-4 หมื่นบัญชีต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มจะขึ้นไปถึงระดับ 4-5 หมื่นบัญชีใหม่ต่อปี ได้ไม่ยาก เขาบอก
นอกจากนี้ 6ปีที่แล้วจะเห็นคนวัย 40-50 ปีที่มาเข้าร่วม แต่ตอนนี้มีตั้งแต่วัย 22-50 ปี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ปีต้นๆ และเมื่อก่อนเป็นผู้ชาย 70% ตอนนี้ลดลงเหลือ 60% แสดงว่าผู้หญิงเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นด้วย
Role Model เซียนหุ้น GEN Y ภาววิทย์ กลิ่นประทุม - สถาพร งามเรืองพงศ์”
Role Model เซียนหุ้น GEN Y “ภาววิทย์ กลิ่นประทุม - สถาพร งามเรืองพงศ์”
สองนักลงทุนหนุ่มที่กำลังมาแรง อุทิศเวลาให้กับการเผยแพร่แนวความคิดด้านการลงทุนที่ถูกต้องให้กับแฟนคลับนักลงทุนรุ่นใหม่เป็นจำนวนมาก
ประวัติ "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เป็นหลาน “วีระ รมยะรูป” อดีตกรรมการและผู้ร่วมก่อตั้ง “ธนาคารกรุงเทพ” (เพิ่งเสียชีวิต) นอกจากแพทจะงานประจำที่แบงก์กรุงเทพในฐานะผู้ดูแลโครงการทายาทธุรกิจ เขายังมีอีกบทบาทหนึ่งในฐานะนักลงทุนแนวหุ้นคุณค่า (วีไอ) และเป็นเจ้าของหนังสือขายดีระดับเบสท์เซลเลอร์ “แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน” ที่พิมพ์ออกมาแล้วสามเล่ม ล่าสุดที่เพิ่งวางแผงคือ “คลินิกหุ้นมือใหม่”
นอกจากนี้ เขายังเป็นวิทยากรแนะนำการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานให้กับคอร์สอบรมที่จัดขึ้นโดยเว็บไซต์สต็อก ทูมอร์โรว์ สิ่งที่ “แพท” เขียนลงไปในหนังสือคือ ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสกลับไปทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้งที่ระดับ 1,700 จุด ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจเอเชียที่กำลังจะเป็น Asian Miracle รอบที่สอง คนที่ฉลาดโดยเฉพาะกลุ่ม GEN Y จึงมีโอกาสสร้างความมั่งคั่งได้จากตลาดหุ้น เพื่อที่จะไม่ตกขบวนรถไฟรอบใหญ่นี้ เขามีความตั้งใจที่จะเสริมความรู้ด้านการลงทุนให้กับกลุ่ม GEN Y คนรุ่นเดียวกับเขาให้มีความ “ฉลาด” ที่จะไม่ตกเป็นแมลงเม่าง่ายๆ โดยเจ้าตัวให้ความมั่นใจว่าใครก็ตามที่สามารถอยู่รอดในตลาดหุ้นได้ถึง 20 ปีย่อมมีโอกาสสร้างความรวยได้แน่นอน
ตอนนี้คนรุ่นใหม่สนใจลงทุนในหุ้นมากขึ้น ทำให้สนใจที่จะศึกษาหาความรู้ด้านนี้มากขึ้นทั้งทางปัจจัยพื้นฐาน การวิเคราะห์กิจการ รวมถึงการใช้เครื่องมือทางเทคนิค
เขาบอกว่า ช่วงแรกของการลงทุนในตลาดหุ้นสนใจแต่แนวทางแวลูอินเวสเตอร์อย่างเดียว แต่พอได้มารู้จักเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์ ทำให้ได้เรียนรู้แนวทางการลงทุนในหลากหลายมิติมากขึ้น เช่น “หยง" ธำรงค์ชัย เอกอมรวงศ์ เทรดเดอร์ที่นิยมการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศ และ "ปุย" ประกาศิต ทิตาราม เจ้าของกิจการที่เชี่ยวชาญการใช้ปัจจัยทางเทคนิค และต่อมาทั้งสองก็เป็นวิทยากรอบรมเรื่องการใช้เครื่องมือทางเทคนิคของเว็บไซต์ รวมถึงนักลงทุนหน้าใหม่เก่งๆ หลายคนมาช่วยกันโพสต์บทความที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนลงในเว็บไซต์
วันศุกร์ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2555
สินค้ามือสอง
ลาดสินค้า “มือสอง” ในประเทศไทยนั้น คงต้องพูดว่ายังไม่พัฒนามากนักยกเว้นสินค้าบางอย่าง เช่น รถยนต์ เหตุผลที่สำคัญส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะเราไม่ใคร่มีบริษัทที่ตั้งใจหรือทุ่มเทในการที่จะเป็น “ตัวกลาง” ในการซื้อขายสินค้ามือสองอย่างจริงจัง อีกเหตุผลหนึ่งที่อาจจะสำคัญยิ่งกว่าก็คือ คนไทยจำนวนไม่น้อยอาจจะมีความรู้สึกว่า การใช้สินค้าที่ “ผ่านการใช้งานมาแล้ว” เป็นเรื่องที่ไม่น่าอภิรมย์ เป็นเรื่องที่ “เสียศักดิ์ศรี” เป็นเรื่องที่จะทำให้ถูกมองว่า “จน” หรือบางทีก็อาจจะรู้สึกว่าสินค้านั้นอาจจะเคยเกิด “สิ่งที่ไม่ดี” มาก่อน ด้วยเหตุผลเหล่านี้ ทำให้ราคาของสินค้ามือสองต่ำกว่า “สินค้าใหม่” มากแม้ว่าสินค้ามือสองบางชิ้นจะถูกใช้มาเพียงไม่กี่วัน ไม่กี่เดือน หรือไม่กี่ปี สินค้ายังอยู่ในสภาพที่ดีเกือบ ๆ เท่าสินค้าใหม่และอายุที่เหลือสำหรับการใช้งานยังยาวนานมาก ว่าที่จริง สินค้าบางชิ้นนั้น ก็คือสินค้าใหม่นั่นเอง เพียงแต่มันได้ผ่านการซื้อขายมาแล้ว เจ้าของไม่ใช่บริษัทผู้ขายเท่านั้นเอง ประเด็นอยู่ที่ว่า ในแง่ของ Value Investor เราควรซื้อสินค้ามือสองในสินค้าแต่ละกลุ่มที่มีตลาดมือสองไหม?
สินค้ามือสองกลุ่มแรกก็คือ คอนโดมิเนียม นี่คือสินค้าที่ผมคิดว่าน่าจะมีราคาถูกคุ้มค่ามากเมื่อเทียบกับคุณค่าของมัน ครั้งหนึ่งเมื่อประมาณปีสองปีที่แล้ว ผมเคยสอบถามราคาคอนโดเก่าที่มีการประกาศขายย่านถนนพญาไทห่างจากสถานีรถไฟฟ้าและสวนสาธารณะเพียง 200 เมตร แม้ว่าตัวอาคารจะสร้างมาแล้วกว่าสิบปีแต่เจ้าของเพิ่งตบแต่งห้องใหม่ดังนั้นสภาพของห้องชุดจึงดูดีและตัวอาคารก็น่าจะใช้ต่อไปได้อีกหลายสิบปี และถึงแม้ว่าอาคารจะไม่มีสระว่ายน้ำแต่ก็มีห้องออกกำลังกายที่ค่อนข้างจะ “ว่าง” นอกจากนั้นที่จอดรถก็มีเหลือเฟือสำหรับเจ้าของทุกยูนิต ดูไปแล้วนี่คือ “ทำเลทอง” ที่คนจะอาศัยอยู่ในเมืองและมีความสะดวกสบายทุกอย่างยกเว้นไม่มีสระว่ายน้ำ ถ้าจะให้ผมคิดอย่างคร่าว ๆ ถ้ามันเป็นคอนโดใหม่และตบแต่งพร้อมในทำเลแบบเดียวกันพร้อมสระว่ายน้ำ ราคาขายคงจะตกประมาณไม่ต่ำกว่าหนึ่งแสนบาทต่อตารางเมตรขึ้นไป แต่ราคาที่เจ้าของเรียกก็คือ ประมาณ 4-5 หมื่นบาทต่อตารางเมตร
วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2555
ตามรอยบัฟเฟตต์
การซื้อหุ้นของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ มักตกเป็นข่าวใหญ่เสมอ เหตุผลคงเป็นเพราะนักลงทุนสนใจ และเชื่อว่าหุ้นที่บัฟเฟตต์ซื้อต้องเป็นหุ้นที่มีคุณค่ามาก
และราคาถูกคุ้มค่า พวกเขาจึงอาจจะมีโอกาส "ซื้อหุ้นตามเซียน" และทำกำไรได้ง่ายๆ ผมก็สนใจติดตามข่าวการลงทุนของบัฟเฟตต์อยู่เหมือนกัน ไม่ใช่เพื่อที่จะซื้อหุ้นตาม แต่อยากรู้ว่าทำไมเขาถึงซื้อหุ้นตัวนั้น ความหมาย คือ เพื่อที่ว่าผมจะได้เรียนรู้และนำมาปรับใช้กับการลงทุนของผมเอง ผมคิดว่า การเรียนรู้จากคนระดับบัฟเฟตต์ แม้จะอยู่ห่างไกลกันคนระดับในแง่ของการลงทุน จะช่วยให้ผมไม่ต้องลองผิดลองถูกได้ในระดับหนึ่ง และต่อไปนี้ คือ สิ่งที่ผมคิดว่า เป็น แนวทางของบัฟเฟตต์ในช่วงหลังๆ นี้
ข้อแรก การลงทุนของบัฟเฟตต์ ยัง เกาะติดอยู่กับธุรกิจหลักๆ ที่เขาทำมายาวนาน นั่นคือ เขา ชอบลงทุนกิจการที่มีการเปลี่ยนแปลงช้าๆ เป็นกิจการที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่สามารถทำลายมันได้ง่ายๆ เช่น อาหารการกิน ซึ่งถึงยังไงคนต้องกิน และต้องการกินอาหารที่อร่อยมียี่ห้อระดับโลก ตัวอย่างหุ้น เช่น บริษัทคราฟท์ฟู้ด กลุ่มต่อมา คือ กลุ่มของใช้ประจำวัน เช่น สบู่ ยาสีฟัน แชมพูสระผม และเครื่องประทินผิว ที่ไม่ต้องอาศัยความคิดสร้างสรรค์อะไร ยกเว้นการโฆษณา และการตลาดต่อเนื่อง ตัวอย่างของหุ้น เช่น หุ้นพร็อกเตอร์แอนด์แกมเบิล และหุ้นจอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และกลุ่มสุดท้าย คือ หุ้นบริษัทค้าปลีกที่บัฟเฟตต์เพิ่งจะลงทุนไม่นานนัก ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นหุ้นที่อยู่ในเกณฑ์ที่เขาสนใจลงทุน แต่เขาอาจจะเคยเกี่ยงว่า เป็นหุ้นที่ "ไม่เคยถูก" เช่น หุ้นของวอลมาร์ท เป็นต้น
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)