วันศุกร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2555

GEN Y แห่เล่นหุ้น ฝันเป็น 'นายตัวเอง'

ดอกเบี้ยเงินฝากที่แพ้เงินเฟ้อ ภาพนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในตลาดหุ้น กระตุ้นให้ Gen Y แห่เล่นหุ้น โดยมีเส้นชัยที่ความมั่งคั่งเป็นนายตัวเอง


 ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์ ชุมชนนักลงทุนบนโลกออนไลน์ที่กำลังมาแรงในขณะนี้ ให้ความเห็นว่า แน่นอน!! คนรุ่นใหม่สนใจหุ้นมากขึ้น แต่ส่วนตัวอยากให้ตีความของคำว่า GEN Y ให้ครอบคลุมถึงคนอายุไม่เกิน 35 ปี รวมถึงคนที่อายุเยอะหน่อยแต่มีความคิดทันสมัยก็สามารถถูกเรียกให้อยู่ในกลุ่มนี้ได้ด้วย

คนกลุ่มนี้มีความคิดว่าต้องลงทุนเพราะสถานการณ์ของโลกเปลี่ยนไป อัตราดอกเบี้ยเงินฝากถูกเงินเฟ้อกดดัน หากไม่ลงทุนก็จะมีเงินไม่พอใช้

กล่าวได้ว่า อินเทอร์เน็ตคือตัวเร่งที่ทำให้คนรุ่นใหม่สนใจการเล่นหุ้นมากขึ้น และเรียนรู้เรื่องหุ้นได้เร็วขึ้น
อย่างที่สต็อกทูมอร์โรว์มุ่งเน้น คือ การสร้างภาพของ ไอดอลด้านการลงทุน หรือแม้แต่สื่ออื่นๆ ก็มีการเผยแพร่เรื่องราวของนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ทำให้ผู้คนต้องการจะต้องจะเข้ามาเล่นหุ้นเพื่อประสบความสำเร็จบ้าง และเริ่มเข้าสู่ช่องทางอินเทอร์เน็ตเพื่อหาข้อมูลและไปฟังงานสัมมนาต่างๆ

 “ข้อสังเกตอีกหนึ่งข้อ คือ คนรุ่นใหม่มีความอดทนต่ำกับการทำงานเป็นลูกจ้างในองค์กร เลยต้องหาทางออกด้วยการเป็นนักลงทุน มองว่าอาชีพเทรดเดอร์ดูเท่ อิสระ เหมาะสมกับคนรุ่นใหม่ อนาคตผมเชื่อว่าจะเห็นคน GEN Y เป็นนักลงทุนในระดับแสนคนและอนาคตไกลกว่านั้นจะเยอะกว่านี้อีก

 ข้อมูลอย่างเป็นทางการจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ยังยืนยันด้วยว่าจำนวนบัญชีที่เปิดกับโบรกเกอร์มีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้น โดยปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีบัญชีเทรดหุ้นรวม 3 แสนบัญชี เฉลี่ยเปิดบัญชีใหม่ 3-4 หมื่นบัญชีต่อปี ซึ่งมีแนวโน้มจะขึ้นไปถึงระดับ 4-5 หมื่นบัญชีใหม่ต่อปี ได้ไม่ยาก เขาบอก

 นอกจากนี้ 6ปีที่แล้วจะเห็นคนวัย 40-50 ปีที่มาเข้าร่วม แต่ตอนนี้มีตั้งแต่วัย 22-50 ปี โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 30 ปีต้นๆ และเมื่อก่อนเป็นผู้ชาย 70% ตอนนี้ลดลงเหลือ 60% แสดงว่าผู้หญิงเริ่มให้ความสนใจมากขึ้นด้วย
หากดูจากนักลงทุนที่เข้ามาฟังการอบรมการลงทุนหุ้นและการจัดมีทติ้งโดย สต็อกทูมอร์โรว์ ปิยพันธ์ บอกว่า ถ้าเป็นสมัยที่เริ่มต้นเมื่อ

นอกจากนี้เท่าที่สังเกตพฤติกรรมของนักลงทุนรุ่นใหม่ มักจะมาพร้อมกับความรวดเร็วเช่น การใช้เทคโนโลยีเพื่อเข้าถึงข้อมูล โอกาสที่จะเรียนรู้เรื่องหุ้นจึงมากกว่าคนรุ่นเก่าแถมยังรับรู้ได้เร็วกว่าด้วย

 “ผมคิดว่ากำแพงกั้นเรื่องของการเข้าสู่ตลาดหุ้นได้หายไปด้วย ภาพคนเล่นหุ้นยุคเก่าที่เจ๊งจากสมัยต้มยำกุ้ง (ปี 2540) หรือภาพที่มองว่าเป็นการพนันสมัยนี้มันไม่ใช่แล้ว ตอนนี้คนเล่นหุ้นจึงไม่ใช่คนสูงอายุที่ไปรวมตัวกันตามห้องค้าอีกต่อไป แต่คนทำงานเริ่มเยอะขึ้นและกระจายไปทุกส่วนของประเทศ

 ไม่น่าแปลกใจที่อนาคต คนเล่นหุ้นจะมีอายุน้อยลง เพราะคนกลุ่มนี้มีความต้องการเป็นนายตัวเองและมีชีวิตอิสระซึ่งเขามีทางเลือกที่จะทำได้ผ่านการลงทุนในตลาดหุ้น

 ปัจจัยสำคัญคือคนรุ่นใหม่มีความ ฉลาดมากกว่าคนรุ่นเก่าในทุกเรื่องเพราะเทคโนโลยีมันโตขึ้นเรื่อยๆ ยังขาดเพียงแค่ประสบการณ์เท่านั้น ถ้าคนกลุ่มนี้สามารถประคองตัวในตลาดหุ้นได้นานพอ จะทำให้เป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น

 ปิยพันธ์ ยังฉายภาพในอนาคตว่าจำนวนนักลงทุนในตลาดหุ้นไทยซึ่งปัจจุบันคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 1% ของประชากรทั้งหมดน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5% ได้ไม่ยากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า รวมถึงยังเป็นไปได้แน่นอนที่ความสามารถด้านการลงทุนของเด็กไทยจะเทียบชั้นประเทศอย่าง ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ฮ่องกง 
 สุทัศน์ ขันเจริญสุข ประธานชมรมไทยวีไอ กล่าวในทิศทางเดียวกันว่า ปัจจุบันเห็นนักลงทุนรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์มากขึ้น โดยมีอายุเฉลี่ยน้อยลงเรื่อยๆ สังเกตได้จากงานสัมมนาต่างๆ ที่จัดขึ้นโดยตลาดหลักทรัพย์จะมีคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจเข้าไปนั่งฟังจำนวนมากในระดับพันคน

 โดยเฉพาะผู้ที่สนใจแนวทางการลงทุนแบบเน้นหุ้นคุณค่า หรือ แวลูอินเวสเตอร์ เพราะจะเน้นการลงทุนระยะยาวทำให้ความผันผวนของตลาดมีน้อยลง

 อย่างไรก็ตาม เท่าที่ได้ติดตามพฤติกรรมการลงทุนที่เป็นสมาชิกในชมรมซึ่งมีอยู่ 4 หมื่นคนในปัจจุบัน พบว่านักลงทุนที่มีอายุน้อยโดยทั่วไป ยังมีความเข้าใจเรื่องการลงทุนที่ผิดอยู่

 “คนรุ่นใหม่อยากเล่นหุ้นเพราะมีความเชื่อผิดๆ และบางส่วนมีความโลภ เช่น คิดว่าเล่นหุ้นแล้วรวยง่าย คิดว่าความรวยคือทุกสิ่งทุกอย่าง อยากทำงานสบายๆ หาเงินง่ายๆ เร็วๆ เลยมองมาที่งานซึ่งดูจะมีฟอร์มและมีดีกรีหน่อย นั่นคือตลาดหุ้น

นอกจากนี้ยังมีความคิดแบบเดิมๆ ซึ่งยังไม่ได้รับการพัฒนา เช่น เวลาที่ไปงานสัมมนามักจะได้ยินคำถามว่า จะเล่นหุ้นอะไรดี?”โดยไม่ได้ศึกษาหาความรู้เลย เหมือนกับการรอลอกการบ้านอย่างเดียวไม่รู้จักทำการบ้านด้วยตัวเอง

 “ผมมีความกังวลว่าจะเกิดอาการเดินตามกันไป แม้จำนวนคนสนใจเล่นหุ้นมีมากขึ้นแต่ที่น่าห่วงคือจะเกิดความเข้าใจผิดว่าถ้าลงทุนแบบวีไอแล้วจะประสบความสำเร็จ แต่ไม่สนใจว่าที่มาของความสำเร็จนั้นคืออะไร เพียงแค่ฟังคำร่ำลือมาแล้วจะเลียนแบบ สุดท้ายเกิดความเข้าใจผิดทำให้ต้องบาดเจ็บจากการลงทุนและมาตำหนิกันเอง

 นอกจากนี้การที่ได้ลงไปคลุกคลีกับสมาชิกที่เป็นคนรุ่นใหม่ ยังพบว่ายังมีข้อเสียที่ความ ใจร้อนไม่มีความอดทนทำให้แนวทางการลงทุนแบบเน้นหุ้นคุณค่าซึ่งสอนว่าจะต้องให้ความอดทนกับการรอคอยหุ้นที่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต กลับกลายเป็นว่าไปเน้นให้ความสนใจกับราคาหุ้นซึ่งขึ้นๆ ลงๆ แทน จนกระทั่งลงทุนแบบฝืนธรรมชาติ

 “นักลงทุนรุ่นใหม่ที่คิดแบบนี้มีเยอะ เหมือนกับคนที่มีกำลังมากแต่ใช้ไปผิดทางก็จะหลงทางตลอดไป เราจึงต้องหันมาให้ความรู้ที่ถูกต้อง

 สุทัศน์ กล่าวว่าตอนนี้มีการยกระดับชมรมไทยวีไอขึ้นมาเป็น สมาคมอย่างเต็มตัว โดยอยู่ระหว่างรอหนังสือยืนยันจากกระทรวงมหาดไทยเท่านั้น จุดประสงค์ของการก่อตั้งเพื่อที่จะรวบรวมนักลงทุนที่มีแนวความคิดแบบเน้นหุ้นคุณค่ามาอยู่ด้วยกัน

 โดยต้องการให้นักลงทุนได้เพิ่มผลตอบแทนจากการลงทุนที่ให้ดอกผลที่สูงกว่าเงินฝากธนาคารด้วยการลงทุนในระยะยาว มากกว่าลงทุนเหมือนการพนันในอดีต
 นอกจากนี้การมีนักลงทุนระยะยาวจำนวนมากจะทำให้ตลาดหุ้นในภาพรวมมีความมั่นคงมากขึ้นไม่ขึ้นลงกระชากรวดเร็วซึ่งถือเป็นการสร้างสมดุลให้กับตลาด

 “แผนงานของเราในอนาคตจะเน้นให้ความรู้กับนักลงทุนในวงกว้างและเจาะลึกถึงแนวทางการลงทุนแบบเน้นหุ้นคุณค่า ซึ่งเรามีนักลงทุนอายุน้อยจำนวนมากที่มีความสามารถพอจะเป็นต้นแบบได้
--------------------------------------------------------
 “ตลาดหลักทรัพย์ตั้งเป้าเจาะตลาด “Hi Net Worth”
 รายงานจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2554 มีจำนวนบัญชีของนักลงทุนทั้งหมด 695,837 ราย คิดเป็นบัญชีที่แอ็คทีพหรือเทรดอย่างสม่ำเสมอ 139,836 ราย คิดเป็น 20% โดยในปีนี้มีเป้าที่จะเพิ่มจำนวนนักลงทุนหน้าใหม่ทั้งหมด 70,000 ราย จากปีที่แล้วที่เพิ่มขึ้นจำนวน 50,000-60,000 ราย คาดว่าสิ้นปีนี้จะมีจำนวนบัญชีทั้งหมด 740,000-750,000 ราย


ขณะที่สัดส่วนการใช้บัญชีเทรดหุ้นผ่านอินเทอร์เน็ตในปัจจุบันอยู่ที่ 36% โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดย ตลท.ได้ตั้งเป้าที่จะเพิ่มสัดส่วนดังกล่าวให้เป็น 50% ภายในปี 2555-2557  โดยมีแผนที่จะทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ในกลุ่มคนวัยทำงานหรือ First Jobber รวมถึงเจ้าของธุรกิจเอสเอ็มอีที่มีเงินออมพอสมควร ซึ่งทั้งหมดนี้เรียกว่ากลุ่ม Hi Net worth ให้หันมาลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
------------------------------------


ผลวิจัยชี้ "รุ่นใหม่" อยากเป็น นายตัวเอง"
 
 วิทวัส รุ่งเรืองผล คณะทำงาน สถาบันวิจัยและให้คำปรึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยถึงข้อมูลวิจัยเรื่อง พฤติกรรมการออมและการลงทุนของกลุ่มคนวัย 20-29 ปีพบว่า 90% มีความสนใจที่จะนำเงินออมไปลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนและรู้จักกับการบริหารจัดการเงินส่วนบุคคลมากขึ้น

 อย่างไรก็ตาม 72% ของกลุ่มตัวอย่างมีความต้องการที่จะทำธุรกิจส่วนตัวหรือเป็นนายตัวเองมากกว่านำเงินไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ สอดคล้องกับผลวิจัยบุคคลต้นแบบ หรือ Role Model ที่เป็นทั้งบุคคลทั่วไปและต้นแบบทางด้านการลงทุนและธุรกิจ คนรุ่นใหม่เทใจให้ ตัน ภาสกรนทีเป็นบุคคลต้นแบบทั้งสองประเภท

 นอกจากนี้กลุ่มตัวอย่างยังยอมรับว่า มี ความรู้ด้านการลงทุนในระดับ น้อยโดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 2.20 จากคะแนนเต็ม 5 โดยสื่อที่เปิดรับมากที่สุดคือสื่ออินเทอร์เน็ตเนื้อหารายการที่เปิดรับมากที่สุด คือ รายการข่าว

 การศึกษายังพบอีกว่า กลุ่มคนที่เพิ่งจบการศึกษาและกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานจะมีความสนใจกับการลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่ากลุ่มที่ทำงานมาได้ระยะหนึ่งรวมถึงคนที่แต่งงานแล้ว โดยมีข้อสังเกตว่าภาระครอบครัวที่มากขึ้นทำให้ความสนใจที่จะลงทุนในตลาดหุ้นลดลง

 สำหรับผลิตภัณฑ์การเงินที่คนวัย 20-29 ปี ให้ความสนใจมากที่สุดอันดับแรกคือ บัญชีเงินฝาก รองลงมาคือ หุ้นสามัญ และอันดับสามคือ ทองคำ

 สำหรับตัวตนของนักลงทุนในตลาดหุ้นในวัย 20-29 ปี ต้องการ รายได้เสริมจากการลงทุนใน ระยะสั้นเป็นเพศชายมากกว่าเพศหญิง


ขณะที่ระดับรายได้เฉลี่ยต่อเดือนของผู้ที่ลงทุนในตลาดหุ้นอยู่ที่ 22,481 บาท เทียบกับผู้ที่ไม่ได้ลงทุนในตลาดหุ้นมีรายได้เฉลี่ย 18,487 บาท  โดย 90% ของนักลงทุนจะเทรดหุ้นผ่านระบบอินเทอร์เนต
----------------------------------------------


เปิด 3 พฤติกรรม Gen Y
 
 เมื่อเร็วๆ นี้ มายแชร์ เอเยนซี ด้านเครือข่ายการตลาดและการสื่อสาร ได้เปิดตัวผลสำรวจกระแสวัฒนธรรมและเทรนด์ (Culture Vulture) ครั้งแรกในโลก โดยสำรวจจากผู้ประกอบการเจนวาย (อายุระหว่าง 16-29 ปี เกิดในช่วงปี 2525-2538) กว่า 300 คน ใน 38 ประเทศ (รวมถึงประเทศไทย)  พบว่า การมีหัวใจผู้ประกอบการ (The Entrepreneur Spirit) คือวัฒนธรรมและเทรนด์ที่กำลังมาแรงสำหรับเจนวายในขณะนี้
 ผลสำรวจยังจำแนกพฤติกรรมของผู้ประกอบการเจนวาย เป็น 3 กลุ่ม นั่นคือ 

- นักบุกเบิก (Pioneer) เปรียบเหมือนทหารผู้รักสันโดษ แต่มักจะเป็นผู้กล้าเสี่ยงในการลงทุนเพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลง สร้างสรรค์นวัตกรรมสินค้าและบริการที่ไม่เพียงจะเปลี่ยนความคิดและความรู้สึกของเราที่มีต่อประเภทสินค้าเท่านั้น แต่ยังปฏิวัติวิธีคิดในการดำเนินชีวิตไปอย่างสิ้นเชิง โดยมักจะใช้เทคโนโลยีเป็นตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลง

-นักสำรวจสังคม (Social Explorers) ผู้รักอิสระเป็นตัวของตัวเองและรักการผจญภัย มีแรงขับเคลื่อนในการค้นหาความจริงไปพร้อมกับความหมาย เป็นผู้ที่มีแรงปรารถนาจะมอบบางอย่างกลับคืนสู่ชุมชน โดยคนกลุ่มนี้จะท้าทายแบรนด์ด้วยการไม่แสดงตัวหรือไม่ออกนามในการสร้างแบรนด์ และยังท้าทายผู้บริโภคให้ลองประสบการณ์ใหม่ๆ อีกด้วย

- ผู้สร้างสรรค์ (Creators) กลุ่มที่ไม่ตามกระแสสังคม ไม่อยู่ในกรอบ พวกที่มีแรงจูงใจจากการแสดงออกถึงตัวตน กลุ่มนี้มีแรงปรารถนาที่จะสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าอย่างยั่งยืนและประสบความสำเร็จจากการเสาะแสวงหาการจินตนาการโลกรอบตัวในแบบใหม่ๆ เป็นผู้ที่ส่งเสริมนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง
 นอกจากนี้ผลสำรวจยังพบข้อมูลที่น่าสนใจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ว่า

- วัยรุ่นบราซิล ซึ่งเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่ขับเคลื่อนตัวเองได้เร็วที่สุดของโลก ได้รับการส่งเสริมความคิดเรื่องผู้ประกอบการมากกว่าวัยรุ่นในออสเตรเลียซึ่งเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่มั่นคงกว่า

- ผู้ประกอบการหนุ่มสาวใน อาร์เจนตินาและญี่ปุ่น ติดอันดับต้นๆ ของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ ในขณะนี้ สหราชอาณาจักรและอินโดนีเซียติดอันดับการมีความเชื่อมั่นในตัวเองทำให้เกิดความคิดใหม่ๆ ในการทำธุรกิจ

BizWeek  วันที่ 19 มีนาคม 2555
- กว่า 60% ของเจนวายใน จีน เปิดรับความคิดเห็นในเรื่องความเสี่ยงในการลงทุน ในขณะที่เจนวายใน ญี่ปุ่น มีเพียงแค่ 15% ที่เป็นเช่นนั้น

- ภูมิทัศน์ทางธุรกิจของ ฮ่องกง กำลังปรับเปลี่ยนเพื่อให้สมดุลกับการเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการเจนวาย ขณะที่เจนวายของ เกาหลีใต้ พอใจที่จะเริ่มเกี่ยวกับเทคโนโลยี จากความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

- ผู้ประกอบการอายุน้อยของไทยใส่ใจกับการเปิดแนวคิดทางธุรกิจใหม่ด้วยความคิดสร้างสรรค์ ในขณะที่ผู้ประกอบการอายุน้อยของประเทศที่มีเศรษฐกิจดั้งเดิมอย่างโปรตุเกสชอบที่จะลองผิดลองถูก

- ผู้ประกอบการอายุน้อยของ มาเลเซีย ชอบวิธีคิดช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม โดยสนใจที่จะทำให้งาน part-time เป็นงานประจำ ในขณะนี้มากกว่าครึ่งของหนุ่มสาวชาว อาร์เจนตินา ต้องการจะเปิดบริษัทของตัวเองมากกว่าจะทำงานเพื่อคนอื่น


ธุรกิจ :
http://bit.ly/xjfrjD

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น