วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทิ้งรายได้เดือนละ 2แสนบาทสู่เส้นทาง 'วีไอ'ภาสุชา อุตรวณิช




มีเงินสดไหลเข้าบริษัทเดือนละกว่า 200,000 บาท แต่ 'ภาสุชา อุตรวณิช' ก็เลือกปิดธุรกิจขนส่งก้าวสู่เส้นทาง 'วีไอ' รับเหมาดูแลพอร์ตของคนทั้งบ้าน

หนึ่งในเซียนหุ้นรุ่นใหม่ ภาภาสุชา อุตรวณิช คุณแม่ยังสาววัย 34 ปี อดีตเจ้าของธุรกิจขนส่ง มีเงินสดไหลเข้าบริษัทเดือนละกว่า 200,000 บาท แต่ภา เลือกที่จะปิดธุรกิจส่วนตัว เพื่อออกมาลงทุนในตลาดหุ้นแนว Value Investor (วีไอ) ภายใต้พอร์ตของสามี ก่อนจะมาเปิดพอร์ตเป็นของตัวเอง และเธอยังรับหน้าที่ดูแลหุ้นค้าปลีกจำนวน 100 หุ้น ที่ลูกสาววัย 7 ขวบ ตัดสินใจทุบกระปุกออมสินนำเงินเก็บ 1,000 บาท บวกกับเงินเติมให้ของพ่อแม่มาลงทุน จนสามารถสร้างผลตอบแทน 100% ภายในระยะ 1 ปี ได้สำเร็จ

ภา ยึดแนวทางการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม หวังผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 15% ที่ผ่านมาพอร์ตการลงทุนเติบโตอย่างน่าพอใจ ขณะเดียวกัน เธอพยายามปลูกฝังลูกสาวให้รักการอ่านหนังสือ และออมเงิน ด้วยการหยอดกระปุกวันละ 1 บาท หรือมากกว่านั้น ทุกวันสาวน้อยของเธอจะเหลือเงินค่าขนมกลับบ้านวันละไม่ต่ำกว่า 10 บาท จากเงินค่าขนมวันละ 40 บาท ภาสอนลูกสาววัย 7 ขวบว่า หากเติมเงินลงไปในพอร์ตแล้วเลือกหุ้นดีๆ หนูจะสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นได้ทันที
"โตขึ้นหนูไม่จำเป็นต้องทำอาชีพนักลงทุนเหมือนแม่ แต่ขอให้รู้จักลงทุน เพราะการออมจะทำให้มีเงินเลี้ยงตัวเองได้ตลอด และหนูจะพบกับคำว่า..อิสระทางการเงิน"

เธอคัดหุ้นมาให้ลูกเลือกพร้อมเหตุผลและลูกสาวก็ตัดสินใจเลือกหุ้น "ค้าปลีก" ด้วยตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าห้างสรรพสินค้ามีคนเข้าออกทุกวัน มากพอๆกับโรงพยาบาล ไม่เพียงออมเงินไว้ในตลาดหุ้นเท่านั้น เธอยังมีอีกกระปุกเก็บเงินไว้ซื้อสิ่งของที่อยากได้ โดยมีเหตุผลว่าการลงทุนต้องฝึกฝนกันตั้งแต่เด็กๆ เปรียบเสมือนภาษาอังกฤษที่ต้องบ่มกันตั้งแต่ยังเล็กโตขึ้นถึงจะสบาย

เจ้าของนามแฝง "KIRI" ในเวบไซต์ไทยวีไอ ย้อนประวัติส่วนตัวให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า เรียนจบคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เกียรตินิยมอันดับ 2 เมื่อเรียนจบก็ไปฝึกงานเกี่ยวกับการแปลใน บริษัท สยามมิชลิน จากนั้นก็ออกมาเรียนต่อปริญญาโทคณะอักษรศาสตร์ ด้านการแปลวรรณกรรม ระหว่างนั้นก็ไปทำงานในบริษัท อัลคาเทล ผู้รับเหมาติดตั้งระบบเทเลคอม และจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ในตำแหน่งโอเปอร์เรเตอร์ รีเซฟชั่น และแอดมิน ทำงานได้ 1 ปี ก็ตัดสินใจลาออก คู่หมั้นที่เจอกันตอนทำงานในสยามมิชลิน ต้องบินไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศสปีกว่า ภาจึงตัดสินใจแต่งงานตอนอายุ 24 ปี แล้วบินไปด้วยกัน
"ตอนนั้นเศร้ามากที่เรียนไม่จบปริญญาโท ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่เดือนก็จะจบแล้ว ช่วงที่อยู่ฝรั่งเศส ด้วยสถานะของวีซ่าไม่สามารถทำงานได้ แต่ไม่อยากอยู่เฉยๆ จึงไปลงเรียนหลักสูตรภาษาฝรั่งเศส สำหรับนักศึกษาต่างประเทศ 4-5 เดือน และกะว่าเมื่อเรียนจบจะไปท่องยุโรปก่อนกลับเมืองไทย สุดท้ายผ่านมา 11 เดือน สามีไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนอกจึงขอเร่งคอร์สการทำงานเพื่อกลับเมืองไทยเร็วขึ้น"

ความเข้มแข็งของประเทศ



เมื่อถึงเวลาที่นักลงทุนจะต้องออกไปลงทุนในต่างประเทศเช่นในปัจจุบัน สิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือ ประเทศไหนจะแข็งแกร่ง รุ่งเรืองเฟื่องฟู

ประเทศไหนอ่อนแอและจะลำบากไปอีกนาน เพราะถ้าเราไม่รู้ เราก็อาจจะเข้าไปลงทุนผิดประเทศซึ่งอาจจะส่งผลให้ผลตอบแทนการลงทุนย่ำแย่ จริงอยู่ ในฐานะที่เป็น VI เราไม่ได้ลงทุนในประเทศ เราลงทุนในตัวหุ้น แต่ความเป็นจริงก็คือ ในยามที่ประเทศกำลังลำบากหรืออยู่ในช่วงตกต่ำนั้น ก็ยากที่บริษัทจะสามารถสร้างผลงานโดดเด่นมาก ๆ เมื่อเทียบกับอีกบริษัทหนึ่งที่โดดเด่นเช่นเดียวกันแต่อยู่ในประเทศที่กำลังเฟื่องฟู ด้วยเหตุผลนี้ การวิเคราะห์ประเทศจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องรู้ หรือกำลังจำเป็นต้องรู้ อาจจะเนื่องจากเราเห็นว่า Value ของหุ้นในประเทศไทยนั้นเหลือน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นในต่างประเทศ หรือไม่ก็อาจจะเพราะว่าเราอยากกระจายความเสี่ยงการลงทุนโดยการแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศบ้าง

การวิเคราะห์ความเข้มแข็งของประเทศนั้น ไม่ใช่การคาดการณ์ว่าปีนี้หรือปีหน้าประเทศนั้นจะเติบโตกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นการวิเคราะห์กำลังหรือพลังอำนาจโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจของประเทศในการแข่งขันกับประเทศอื่น นี่เป็นเรื่องของโครงสร้างระยะยาวที่ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และพลังอำนาจนี้จะเป็นตัวที่กำหนดว่าประเทศจะรุ่งเรืองหรือตกต่ำไปอีกนานพอสมควรหรือตลอดไป

พลังอำนาจของประเทศนั้น คิดว่าน่าจะมาจากปัจจัยหลัก ๆ 4-5 เรื่องก็คือ หนึ่ง คุณภาพของคนในประเทศ ว่ามีความรู้หรือมีการศึกษาดีแค่ไหน IQ ของคนเป็นอย่างไร สอง คือจำนวนของคนว่ามีมากน้อยแค่ไหน สาม คือกฎเกณฑ์หรือกฎหมายว่าเอื้ออำนวยต่อการจูงใจให้คนทำงาน ทำธุรกิจ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน สี่ คือทรัพยากรที่ประเทศมีอยู่ รวมถึงพลังงาน แร่ธาตุ และแน่นอน พื้นแผ่นดินที่ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรมได้ ห้า คือวัฒนธรรมและความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของคนในชาติว่า มีความเข้มแข็งมากน้อยเพียงใด ซึ่งรวมไปถึงประวัติศาสตร์ที่เป็นมาด้วย และคงไม่ต้องบอกว่า ศาสนาและค่านิยม รวมถึงจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการหรือการ เสี่ยงภัยก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

จากแนวทางการวิเคราะห์ข้างต้น ลองมาดูกันว่าระหว่างสหรัฐกับกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจและกำลังอำนาจใกล้เคียงกัน ใครแข็งแกร่งกว่าและน่าจะมีอนาคตรุ่งเรืองกว่า ซึ่งคำตอบคืออเมริกา ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
เรื่องแรกคือ กลุ่มยูโรโซนนั้น มีรัฐบาลที่กระจัดกระจายนับเป็นสิบๆประเทศและมีภาษาใช้กันหลายภาษา ขณะที่อเมริกานั้นเป็นหนึ่งเดียวและมีภาษาเดียว ดังนั้น นโยบายและการบริหารงานของอเมริกานั้นมีเอกภาพสูงกว่ามาก ทำให้การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของอเมริกาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่า และนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ที่เริ่มในอเมริกา อเมริกากลับฟื้นตัวได้ดีกว่ายุโรปมาก

มนุษย์หุ้น 2.0 : นักเตะล่าฝันกับเฮดจ์ฟันด์เงินล้าน

วัยเด็ก การ์ตูนเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจินตนาการของเราได้เป็นอย่างดี สมัยนั้นเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ต้องรู้จัก กัปตันซึบาสะ การ์ตูนฟุตบอลสุดฮิต แฟนตาซียอดฮิตผสมจินตนาการ จำได้ว่าตอนเรียนประถม ยามเช้า ยามเที่ยง ยามเย็นต้องชวนเพื่อนพากันไปเล่นบอลโกหนูด้วยลูกบอลพลาสติก วิ่งไล่เตะ ไล่หวดกันแบบบอลวัด โดยสมมติกันเป็นตัวละครในการ์ตูนซึบาสะ ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งความสนุกกันไป เมื่อโตขึ้นมาหน่อยระดับมัธยม การ์ตูนฟุตบอล อย่าง “Whistle! ไอ้หนูแข้งทอง”, “ยิงประตูสู่ฝัน”, “viva calcio” ก็เป็นอีกหนึ่งการ์ตูนที่เน้นไปทางการวิ่งตามฝัน การพาตัวเองจากนักเตะเยาวชนโนเนมไปสู่การเล่นระดับอาชีพ การไปเป็นนักเตะดาวรุ่ง การร่วมมือกันพาทีมไปสู่เป้าหมายชัยชนะ
       
       การ์ตูนสามเรื่องนี้จะให้แรงบันดาลใจ และจินตนาการที่หล่อเลี้ยงความฝัน ความอยากเป็นดาวรุ่งในการเล่นฟุตบอลของเด็กๆ ได้ดี แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่อยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่เชื่อเถอะครับว่าเสี้ยวหนึ่งของความคิดในวัยขาสั้นที่วิ่งไล่เตะฟุตบอลในสนาม เด็กผู้ชายทุกคนอยากเล่นบอลเหนือชั้นกันทั้งนั้น
     
       จากเด็กธรรมดาที่ชอบเล่นฟุตบอล ทั้งโลกคงมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่เลือกเส้นทางนี้เป็นงานเลี้ยงชีพ และคงมีไม่มากเท่าไหร่ที่ได้ประสบความสำเร็จเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มีชื่อเสียง เป็นดาวเด่น ติดทีมชาติ มีค่าตัวหลายล้านเหรียญ มีค่าเหนื่อยต่อสัปดาห์มหาศาล การไปถึงจุดนั้นได้นั้นยากแสนเข็ญ ด้วยข้อจำกัดเรื่องของอายุที่ต้องเร่งประสบความสำเร็จก่อน 25, ฝีเท้าที่ต้องโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งในตำแหน่งเดียวกัน
      

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

'มนสิช จันทนปุ่ม' 'เทรดเดอร์' ผู้เอาชนะตลาดด้วยระบบ



เปิดมุมมองการลงทุนโดยใช้ระบบเทรด'มนสิช จันทนปุ่ม' นักเก็งกำไรสไตล์ Trend Following ผู้ละทิ้งอีโก้ อารมณ์ พิชิตกำไรในตลาดหุ้น

"มด" มนสิช จันทนปุ่ม เซียนหุ้นหนุ่มมีความเชื่อว่าศาสตร์ของการเก็งกำไรอยู่บนพื้นฐานของ "เหตุและผล" กราฟไม่ได้หลอก และเจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้ คำถามสำคัญของนักเก็งกำไร ก็คือ เราจะสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร..?

มนสิชเป็นอดีตนักเรียนวิชาดนตรี ผู้หลงใหลการลงทุนโดยการใช้ระบบเทรดทางสถิติ (System Trader) เขารวบรวมแนวความรู้การใช้เครื่องมือทางเทคนิคไว้ในเว็บไซต์ "แมงเม่าคลับดอทคอม" กรุงเทพธุรกิจ BizWeek นัดพูดคุยกับเขาเรื่อง "เทคนิคการเทรดขั้นสูง" แต่อธิบายให้เข้าใจง่ายในแบบนักดนตรี
ส่วนตัวผมลงทุนโดยใช้ระบบเทรดเพื่อตัดอารมณ์ความรู้สึก และใช้เทคนิคคัลแนว Trend Following” เซียนหุ้นหนุ่มเปิดประเด็น..สมัยเด็กๆ เขาก็เริ่มสนใจการลงทุนแล้ว พอจบ ม.6 ก็เริ่มเล่นหุ้นทันที แต่สนใจทางด้านดนตรีด้วยจึงไปศึกษาต่อทางด้านดุริยางคศิลป์ มนสิชก็เหมือนเด็กทั่วไปที่อยากรวยง่ายๆ แต่พอลงสนามจริงๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด

เขากล่าวว่า ช่วงที่เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ใช้เงินไม่เยอะขายของได้เงินมา "ไม่ถึงแสนบาท" ก็นำมาลงทุนแต่ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนวิธีคิด ค่อนข้างจะต่อต้านด้วย ในเมื่อหาผู้ให้คำปรึกษาไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เล่นแล้วก็ไม่ได้เรื่องลุ่มๆดอนๆ ลองผิดลองถูกอยู่ 4-5 ปีถึงจะเริ่มได้กำไรสม่ำเสมอ

เจ้าตัวบอกว่าไม่จริงเสมอไป คนเล่นดนตรีจะไม่ชอบตัวเลข นักดนตรีหลายคนก็สามารถคิดเลขได้ดี และมีบทวิจัยยืนยันด้วยว่าการเล่นดนตรีกับการคำนวนสามารถไปด้วยกันได้ หัวสมองก็จะได้ทั้งความสุนทรีย์และความมีเหตุมีผล ถือเป็นการสร้างสมองสองด้านให้สมดุล

มนสิช บอกว่า ช่วงแรกที่ลงทุนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก็ได้ศึกษาวิธีการลงทุนของผู้ประสบความสำเร็จอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่อมาก็เริ่มศึกษาการลงทุนโดยใช้เทคนิคและพบว่าแนวทางนี้ "มันใช่" แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี มีผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังถึงเริ่มจะเข้าใจว่าผิดที่ แก่น” (หลักคิด) ของมันเลย สมัยก่อนพยายามที่จะพยากรณ์อนาคต นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดูกราฟวันละ 7-8 ชั่วโมง พยายามหาคำตอบแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงหาคำตอบได้ว่าไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำทั้งหมด และไม่มีระบบไหนที่ดีที่สุด

ช่วงแรกมีความเข้าใจว่าถ้าเราเทรดพลาดแปลว่าเราทำอะไรผิดสักอย่าง เราเลยยิ่งค้นหาไปเรื่อยๆว่าต้องใช้สัญญาณทางเทคนิคแบบไหนถึงจะถูก คำตอบที่แท้จริงคือเทคนิคมันบอกเพียงแค่ "ความน่าจะเป็น" ไม่ถูก 100% ความน่าจะเป็นของการใช้เทคนิคมันถูกทดสอบจากากรเทรดมาแล้วเป็นพันครั้ง แล้วกำหนดเป็นสูตรออกมาแต่เราจะไม่มีทางรู้ได้ว่าการเทรดของเราครั้งไหนจะถูก"

งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง



เวลาที่ไปงานเลี้ยงหรือปาร์ตี้เพื่อความบันเทิงนั้น  ช่วงหัวค่ำที่คนเริ่มทยอยมาบรรยากาศก็มักจะยังไม่รื่นเริงนัก  ดนตรีก็มักจะเล่นเพลงเบา ๆ  สบาย ๆ   เมื่อคนเริ่มมากขึ้น  บรรยากาศก็จะคึกคักขึ้น  คนเริ่มจิบเหล้าเบียร์และคุยกันสนุกสนาน  ดนตรีเริ่มดังขึ้น  เพลงเริ่มเร็วขึ้น  หลายคนเริ่ม  “เปิดฟลอร์”  ออกไปเต้นรำ  ซักระยะหนึ่งแอลกอฮอก็เริ่มออกฤทธิ์   คนออกไป  “ดิ้น”  กันเต็มพื้นที่  ดนตรีเล่นเพลงที่เร้าใจและดังจนคุยกันไม่รู้เรื่อง  งานเลี้ยงกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่  “สนุกและร้อนแรงที่สุด”  มันอาจจะเป็นเวลา สี่ทุ่มครึ่ง  ห้าทุ่ม  หรืออาจจะใกล้เที่ยงคืนที่เป็นกำหนดเวลา  “งานเลิก”  ไม่มีใครรู้หรือสนใจที่จะรู้เพราะในเวลาที่ทุกคนกำลังสนุกสนานนั้น  พวกเขามักจะ  “ลืมดูเวลา”  ไม่มีใครอยากจะออกจากงานก่อนที่มันจะเลิกแม้จะมีกฎว่า  คนที่ออกหลังสุดต้อง  “จ่ายสตางค์

          นั่นเป็นคำบรรยายแบบเปรียบเปรยกับบรรยากาศของตลาดหุ้นในขณะนี้ที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ   นับจากต้นปีที่ 1025 จุดเป็น  1324 จุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 29% ไม่นับรวมปันผลอีก 3-4%  ซึ่งทำให้นักลงทุนที่มีหุ้นในตลาดมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ   จริงอยู่  การที่หุ้นปรับขึ้นมามาก ๆ  ในเวลาอันรวดเร็วนั้น  ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ  หลายปีที่ผ่านมาหุ้นก็ปรับตัวสูงแบบนี้มาหลายครั้ง   แต่การปรับตัวในรอบก่อน ๆ  นั้นก็มักจะเป็นการปรับตัวขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นตกลงมาอย่างหนัก  ดังนั้น  คนที่ถือหุ้นอยู่ตลอดเวลาก็อาจจะไม่ได้กำไรนัก   อาจจะเพียงแต่ได้ทุนคืนมา    แต่การปรับขึ้นของหุ้นในรอบนี้เป็นการขึ้นหลังจากที่หุ้นได้ขึ้นมาสูงแล้ว  ดัชนีที่ 1324 นี้ถือเป็นดัชนีที่สูงที่สุดในรอบ 16 ปี  ดังนั้น  สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นที่เข้ามาลงทุนในตลาดเพียงไม่กี่ปีหรือไม่เกิน 10 ปี   นี่คือเวลาแห่งความรื่นเริงอย่างแน่นอน  ประเด็นก็คือ  ความสนุกสนานจากการลงทุนในช่วงนี้กำลังใกล้จบหรือไม่  ดัชนีหุ้นในขณะนี้สูงเกินไปหรือไม่  และโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงแรงและทำให้คนที่เข้ามาซื้อหุ้นในช่วงนี้ขาดทุนหรือไม่  มาลองคุยกัน

           เริ่มจากการดูว่าหุ้นในขณะนี้ร้อนแรงเกินไปหรือไม่ในทางจิตวิทยา”  หรือการดูบรรยากาศและความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในตลาด  คำตอบของผมก็คือ  ค่อนข้างร้อนแรงหรืออาจจะพูดว่าร้อนแรงมากก็ได้  เพียงแต่  “คนทั่วไป”  เช่น  ช่างตัดผมหรือแท็กซี่ยังไม่ได้พูดถึงตลาดหุ้น  แต่นี่ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นว่าจะต้องเกิด  เนื่องจากประเทศไทยนั้นยังไม่รวยพอที่คนทั่วไปจะสนใจตลาดหุ้นในทุกสถานการณ์   การที่ผมพูดว่าตลาดหุ้นร้อนแรงมากนั้น   ผมสังเกตจากจำนวนคนที่เข้าฟังการสัมมนาการลงทุนที่จัดกันอย่างแพร่หลายนั้น  ในช่วงหลัง ๆ  นี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจนเก้าอี้มักจะไม่พอและคนยินดีที่จะยืนฟังกันเป็นชั่วโมง ๆ  ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ  เราสามารถจัด  “ทอล์คโชว์เกี่ยวกับการลงทุนที่เก็บเงินคนเข้าฟังได้แล้วจากที่ต้องหาคนฟังแม้จะไม่ต้องเสียเงินอย่างในช่วงหุ้นซบเซาสมัยก่อน

           ประเด็นที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ  ในช่วงหลังนี้มีนักลงทุนที่ยังมีอายุน้อย  อายุตั้งแต่ 20 ถึง 30 ปีต้น ๆ  ที่เป็นคน  Gen Y หรือเป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  คนกลุ่มนี้สนใจลงทุนในตลาดหุ้นเพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่จะ  “รวยเร็ว”  โดยไม่ต้องทำงานหนักซึ่งก็เป็นเทรนด์”  ของคนในรุ่นใหม่นี้ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีไอทีที่พัฒนาแล้วและความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นมากของพ่อแม่  พวกเขาเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นทางเลือกที่ดีที่เขาจะบรรลุความฝันนั้นได้   ว่าที่จริง  หลายคนที่พ่อแม่มีฐานะดีนั้น  ได้เลือกเส้นทางที่ไม่ทำงานประจำที่ได้เงินเดือนน้อยและไม่น่าสนใจเลย   แต่ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอาชีพ  ผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเดินตามรอย  “วอเร็น บัฟเฟตต์”  หรือเปล่าที่ไม่ทำงานประจำตั้งแต่เรียนจบ   อย่างไรก็ตาม  การที่ไม่ทำงานหรือออกจากงานมาลงทุนอย่างเดียวนั้น  ก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่าตลาดหุ้นนั้นร้อนแรงมาก  เพราะพวกเขาเชื่อว่าผลตอบแทนการลงทุนในตลาดนั้นสูงมากจนทำให้รายได้จากการทำงานกินเงินเดือนไม่มีความหมาย

VI Gen-X



ในการที่เราจะเข้าใจ Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ต่าง ๆ  ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม  และการเมืองนั้น   สิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือพฤติกรรมของคนในโลกและในประเทศซึ่งก็มักจะสอดคล้องใกล้เคียงกันเนื่องจากโลกเรานั้นเป็น  Globalization   ในการศึกษาพฤติกรรมของคนนั้น  เราพบว่าคนในแต่ละยุค  หรือพูดให้ชัดก็คือคนที่เกิดในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นมักจะมีแนวคิดหรือพฤติกรรมต่างกัน  ซึ่งนี่ก็เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์หรือพัฒนาการสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไป  ตัวอย่างเช่น  เกิดสงครามโลก  หรือเกิดระบบอินเตอร์เน็ตที่ประชาชนทุกคนสามารถใช้ได้เป็นต้น

ในทางวิชาการได้มีการจัดคนที่เกิดในช่วงปีต่าง ๆ  ออกเป็นกลุ่มที่มีคำเรียกแทนลักษณะสำคัญของคนในยุคสมัยหรือรุ่นนั้น  โดยที่ผมจะเริ่มจากยุคที่แก่ที่สุดที่ยังมีจำนวนและบทบาทอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ  ยุค Baby Boom หรือยุคลูกมาก”  นี่คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1945 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีเด็กเกิดใหม่มากมาย  การที่ครอบครัวจะมีลูก 5-6 คน เป็นเรื่องธรรมดา  บางบ้านมีเป็นสิบคน   ยุคเบบี้บูม”  นี้สิ้นสุดลงในปี 1964 หรือกินเวลาประมาณ 19 ปี  และถ้านับถึงวันนี้ก็คือกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง  48 ถึง 67 ปี ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น   และดังนั้นผมก็จะมีไอเดียหรือแนวคิดหรือมุมมองต่อโลกแบบหนึ่งของคนที่อยู่ในยุคนี้  นอกจากนั้น  ผมก็พอจะเข้าใจว่าคนในรุ่นนี้มักจะคิดอย่างไรต่อเรื่องต่าง ๆ  ในชีวิตและในสังคม

          พวกเบบี้บูมหรือถ้าจะพูดในวันนี้ว่าเป็นพวก  “คนแก่”  นั้น  มักจะเป็นคนที่  “อนุรักษ์นิยม”  เป็นคนที่ชอบประเพณีที่ดีงาม  ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและ  “ศีลธรรมอันดี”  พวกเขาจะชื่นชอบและเคารพเชื่อถืออะไรก็ตามที่เป็น  “สถาบัน”  ของประเทศหรือของสังคมหรือชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่  คนที่ไม่ยึดถือประเพณี  ความเป็นระเบียบ  หรือสิ่งต่าง ๆ  ที่กล่าวถึงนั้นจะถูกมองว่าเป็น  “คนไม่ดี”  และจะต้องถูกลงโทษทั้งทางด้านของสังคมและกฎหมายถ้ามี  แม้แต่ในเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวที่เป็น

เรื่อง  “ธรรมชาติ”  เช่นเรื่องของเซ็กส์ก็ถูกควบคุมโดยสังคม  คนที่ฝ่าฝืนมักถูกสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง  ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกลายเป็นหญิงที่มีมลทินในบางสังคมซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย  นี่คือคุณลักษณะคร่าว ๆ  ของเบบี้บูมเมอร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากหรือน่าจะมากที่สุดในบรรดากลุ่มทั้งหลายที่ผมจะกล่าวต่อไป  ประเด็นก็คือ  บทบาทหรืออิทธิพลของพวกเขานั้นยังสูงยิ่ง  ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ  สังคม  และการเมือง  อย่างไรก็ตาม  พวกเขาอาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว  นับวันก็จะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ  ว่าที่จริง  นายกรัฐมนตรีของไทย 2 คนสุดท้ายของเรานั้น  ก็ไม่ได้เป็นพวกเบบี้บูมเมอร์แล้ว