วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

Mega Trend

ในการลงทุนระยะยาว สิ่งที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ การรู้ว่าอะไรเป็น Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ของสิ่งต่างๆ ในโลก



ถ้าพูดถึงการลงทุนในไทยก็คือ แนวโน้มของประเทศไทย ซึ่งแนวโน้มในประเทศไทย ส่วนใหญ่เป็นไปในแนวเดียวกับแนวโน้มของโลก ผมเองไม่ได้เป็นคนที่มองเห็น "อนาคต" ดีกว่าคนอื่น แต่ผมชอบสังเกตพฤติกรรมของคนอื่น รวมถึงตนเองว่า เราเคยทำอะไรและทำอย่างไรในอดีต และตอนนี้ทำอะไรแทน ผมก็ศึกษาพฤติกรรมของคนชาติอื่นที่ร่ำรวยกว่าเราว่าเขาทำอะไรมาก่อน  เพราะผมเชื่อว่าในไม่ช้า เมื่อเรารวยเท่าเขา เราก็จะทำเหมือนกับเขา ผลก็คือ ผมก็จะมีไอเดียว่า  Mega Trend ของเรามีอะไรบ้าง และต่อไปนี้ก็คือความคิดของผม

เริ่มจากสิ่งที่ใกล้ตัวที่สุดคือเรื่องของอาหารการกิน ผมคิดว่าคนไทยกินอาหารนอกบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลสำคัญ อาหารนอกบ้านวันนี้ไม่ได้ "แพง" เหมือนสมัยก่อน นี่ก็พูดโดยเปรียบเทียบกับเงินเดือนของคนทั่วไป และเทียบกับราคาอาหารที่ทำกินเองที่บ้าน อาหารที่เรากิน ดูเหมือนจะกินในภัตตาคารที่เป็นอาหารต่างชาติค่อนข้างมาก โดยเฉพาะอาหารญี่ปุ่น หรือฟาสต์ฟู้ดแบบอเมริกัน เทรนด์กินอาหารนอกบ้าน ผมคิดว่าจะเพิ่มขึ้นไปอีกนาน ส่วนร้านอาหารที่เรากิน ก็มีแนวโน้มว่า เราจะเลือกกินจากร้านที่เป็นเชนมากกว่าร้านเดี่ยวๆ ซึ่งมีความเสียเปรียบในหลายๆ ด้าน นอกจากการกินในภัตตาคารแล้ว อาหารกล่องและอาหารถาดทั้งหลาย จะเป็นเมกาเทรนด์ที่มีการบริโภคมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยเหตุผลเดียว
อาหารประเภทหนึ่งที่ผมคิดว่าคนไทยกินมากขึ้นเรื่อยๆ มายาวนานคือ เบเกอรี่ เป็นอาหารว่างที่อร่อย สะดวก และราคา "ถูกลง" เรื่อยๆ เมื่อเทียบกับรายได้ของคนไทย การเกิดขึ้นของร้านค้าปลีกสมัยใหม่ที่ติดเครื่องปรับอากาศทำให้การกระจายสินค้าเบเกอรี่ทำได้กว้างขึ้น และน่าจะทำให้อาหารเบเกอรี่เติบโตขึ้นได้อย่างรวดเร็ว

ส่วนเครื่องดื่ม ผมคิดว่าน้ำอัดลม มีการบริโภคลดลงเช่นเดียวกับเหล้า ตรงกันข้าม น้ำประเภทอื่นที่ไม่อัดลม เช่น กาแฟ ชาเขียวหรือน้ำขวด มีอัตราการบริโภคสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเบียร์ที่ผมคิดว่าคนบริโภคเพิ่มขึ้น ส่วนบุหรี่ ผมคิดว่าคนคงลดการสูบลงอย่างช้าๆ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ลดการสูบลงไปมาก

การใช้อินเทอร์เน็ตและโทรศัพท์มือถือที่เป็น Smart Phone ผมค่อนข้างมั่นใจว่า จะเป็น  Mega Trend ที่มาแรง เพราะดูเหมือนจะจำเป็นและสะดวกสบายสำหรับ "ชีวิตสมัยใหม่" ราคาการใช้ก็ "ถูก" ลงเรื่อยๆ  ผลต่อเนื่องก็คือการขายบริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต เช่น หนังสือ E-Book เพลง และอื่นๆ  ก็มีแนวโน้มมากขึ้น แม้ยังไม่มีนัยสำคัญมากนักในตลาดเมืองไทย การซื้อสินค้าผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ยังไม่น่าจะเรียกว่าเป็น Mega Trend ได้ เหตุผลอาจจะเป็นเพราะว่าคนไทยซื้อสินค้าได้ค่อนข้างสะดวกมากตามห้างร้านที่อยู่ไม่ไกลบ้าน แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ เราชอบเห็นและจับต้องของที่ต้องการซื้อและอยากได้มันทันทีมากกว่าต้องรอสินค้าที่เห็นในแค็ตตาล็อก

การเดินทางในกรุงเทพฯ นับวันคนจะใช้รถไฟฟ้าทั้งบนดินและใต้ดินมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งในอนาคตที่จะมีการสร้างเส้นทางเดินรถมากขึ้น จำนวนคนใช้บริการก็จะเพิ่มขึ้น สิ่งที่จะตามมาอีกอย่างหนึ่งก็คือ ห้างและคอนโดมิเนียมที่อยู่ตามเส้นทาง หรือใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เหตุผลคือ ความสะดวกและประหยัดเวลาในการเดินทางแล้ว ราคาค่าบริการก็ต้องถือว่า "ลดลง" เรื่อยๆ เมื่อเทียบกับเงินเดือนของคนทำงาน ผมยังเชื่อว่าเมื่อโครงข่ายเดินรถใหม่ๆ สร้างเสร็จ รัฐบาลจะรวมโครงข่ายทั้งหมดหรือหลายๆ  เส้นทางเข้าด้วยกันในการคิดค่าโดยสาร ซึ่งจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางโดยระบบรถไฟฟ้าถูกลงมหาศาล ส่งผลให้จำนวนผู้ใช้บริการโตขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งจะทำให้คนส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ เดินทางด้วยระบบรถไฟฟ้านี้เหมือนในประเทศที่พัฒนาแล้ว

ห้างร้านที่เป็นศูนย์การค้ามีทุกอย่างให้เลือกซื้อในที่เดียวกันนั้นผมคิดว่าก็ยังเป็น Mega Trend ต่อไป  แต่ที่จะขยายตัวไปมากกว่าก็คือในต่างจังหวัด  เพราะกรุงเทพฯ เองนั้น  ดูเหมือนว่าใกล้จะอิ่มตัวแล้ว  การขยายตัวน่าจะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดเล็กที่เน้นชุมชนใกล้เคียงเป็นหลัก  ในส่วนของห้างประเภท Discount Store หรือแม้แต่ห้างอย่างอื่นที่เป็นประเภท Super Store ทั้งหลายนั้น  แนวโน้มดูเหมือนว่าขนาดของห้างจะเล็กลงมากกว่าที่จะใหญ่ขึ้น  เหตุผลคงเป็นเรื่องของความคุ้มค่าที่เริ่มค้นพบว่าขนาดของร้านที่มีอยู่ในปัจจุบันนั้นอาจจะเกินความจำเป็น  อีกส่วนหนึ่งอาจจะอยู่ที่ข้อจำกัดทางด้านของผังเมืองที่ห้ามการสร้างร้านที่ใหญ่มากในทำเลใกล้ชุมชนด้วย

ธุรกิจการเงินโดยเฉพาะธนาคารพาณิชย์นั้นดูเหมือนว่าจะใช้เทคโนโลยีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้งานมาตรฐานต่างๆ เช่น การฝากหรือถอนเงินนั้นถูกทำผ่านเครื่องเป็นหลัก พนักงานแบงก์ถูกใช้ไปทำงานที่มีความซับซ้อน หรือต้องอาศัย "คน" ในการชักชวนลูกค้าเช่น การขายประกันชีวิต ขายกองทุนรวม และอื่นๆ 

ธุรกิจความสวยงาม เฉพาะอย่างยิ่งการทำศัลยกรรมและตกแต่งใบหน้าด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์นั้น  ก็น่าจะยังเป็น  Mega Trend ต่อไปอีก  เหตุผลก็คือเรื่องของต้นทุนหรือค่าใช้จ่ายที่ต่ำลงมาก  บวกกับความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น  นี่ทำให้สาวจำนวนมากและรวมถึงหนุ่มสมัยใหม่บางส่วน  เข้าไปใช้บริการคลินิกเสริมสวยเป็นประจำและเพิ่มขึ้น

คงเป็นเรื่องยากที่จะพูดถึง Mega Trend ต่างๆ  ได้หมด  ประเด็นก็คือ  เราต้องการรู้ว่าธุรกิจอะไรจะเติบโตและอะไรจะถดถอยในระยะยาว  แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ  เราต้องสังเกตว่าบริษัทไหนจะได้ประโยชน์  นั่นก็คือ  ขั้นแรกเราต้องดูเสียก่อนว่าตลาดที่โตขึ้นนั้น   มันได้ดึงดูดผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามามากเสียยิ่งกว่าความต้องการที่เพิ่มขึ้นหรือไม่  ถ้าใช่ เราก็ต้องระวังว่าบริษัทที่อยู่ในธุรกิจโดยรวมแล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย 

ตรงกันข้าม  ถ้าการเข้าสู่ธุรกิจทำได้ค่อนข้างยาก แบบนี้บริษัทที่มีอยู่เดิมก็จะได้ประโยชน์ ขั้นตอนต่อมาก็คือ เราต้องดูว่าใครหรือบริษัทไหนเป็น "ผู้ชนะ" นี่ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นรายเดียว ผู้ชนะในธุรกิจอาจจะมีได้หลายราย แต่ทั่วไปผมคิดว่ามีไม่เกิน 2-3 ราย ผู้ชนะ สิ่งสำคัญคือ เป็นบริษัทที่ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง มาร์จินหรือกำไรต่อยอดขายเพิ่มขึ้นหรือไม่ลดลง มองไปในระยะยาวแล้ว บริษัทแข่งขันได้ในตลาด เพราะมีจุดเด่น หรือจุดแข็งบางอย่างที่คู่แข่งไม่สามารถทำลายได้ง่าย แน่นอน  ผู้ชนะแต่ละรายมีดีกรีต่างกัน บางบริษัทเป็นผู้ชนะที่เด็ดขาดเหนือคู่แข่งมาก ซึ่งทำให้บริษัทมีคุณค่าทางธุรกิจสูงมาก บางบริษัทอาจชนะ แต่ก็เป็นการชนะที่ไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่งมากนัก แบบนี้คุณค่าของธุรกิจก็จะไม่มากนัก ขั้นตอนสุดท้ายคือ ต้องไปดูราคาหุ้นว่าถูกหรือแพงแค่ไหน เทียบกับคุณค่าที่เราเห็น และนี่ก็คือการลงทุนแบบ VI ที่มองระยะยาวและเล่นกับ  Mega Trend

บทความจาก http://bit.ly/AcKtN3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น