วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556



"เซียนหุ้นพันธุ์ผสม" "กระทรวง จารุศิระ"

ความรอบรู้เรื่องหุ้นของ ซัน-กระทรวง จารุศิระเจ้าของพอร์ตหุ้น หลักสิบล้านบาทถูกการันตีด้วยรางวัล แชมป์สุดยอดแฟนพันธุ์แท้ตลาดหุ้นไทย 2013” “ชายวัย 34 ปีลงทุนมา 10 ปี ปัจจุบันถูก ป้อม-ปิยพันธ์ วงศ์ยะราประธานกรรมการบริหาร Stock2Morrow ฉกเข้าสังกัดเรียบร้อยแล้ว และมีแผนจะเขียนหนังสือเกี่ยวกับการลงทุนเพื่อเป็นวิทยาทานแก่เม่าน้อยมือใหม่

ผมเป็นพี่ชายคนโต จากจำนวนพี่น้อง 2 คน น้องสาวคนสุดท้องทำอาชีพ ทันตแพทย์ตอนเด็กๆคุณพ่อเปิดร้านขายของชำ ส่วนคุณแม่ทำร้านทอง จังหวัดชลบุรี เมื่อห้างแม็คโครมาเปิดสาขาในจังหวัดชลบุรี ทำให้ร้านขายของชำของคุณพ่อจำต้องปิดกิจการ ส่งผลให้เหลือเพียงธุรกิจร้านทองเพียงอย่างเดียว วันไหนท่านไปต่างประเทศจะไปช่วยดูแลแทน นักลงทุนพันธุ์ผสมเล่าประวัติให้ กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟัง

เริ่มรู้จักตลาดหุ้นในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 ตอนนั้นกำลังเรียนปริญญาตรีคณะบริหารธุรกิจ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จำได้ว่า มีคนรู้จักของญาติ ขาดทุนหุ้นในปี 2540หนักถึงขั้นนำปืนมายิงจ่อปากตัวเองหน้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตอนนั้นเป็นข่าวใหญ่โต เราเห็นแบบนี้ทำให้ไม่รู้สึกอยากเล่นหุ้น ตลาดหุ้นอันตรายอดีตเคยคิดเช่นนั้น

เคยเห็นดัชนีตั้งแต่ สูงสุด1,700 จุด และ ต่ำสุด200 จุด ตอนนั้นแอบเสียดายเพราะยังไม่สนใจตลาดหุ้น ช่วงนั้นราคาหุ้นแต่ละตัวถูกมาก ยกตัวอย่าง หุ้น เซ็นทรัลพัฒนา หรือ CPN ราคาต่ำแค่ 0.10 บาท สมัยนั้นถือเป็นหุ้นในฝันของนักลงทุนหลายๆคน ปัจจุบันหุ้น CPN ถือเป็นหุ้นที่ทำให้พอร์ตของเราทะยานแตะ หลักสิบล้านบาทต้นทุนเฉลี่ย 20 กว่าบาท
จุดเริ่มต้นการลงทุนเกิดขึ้นช่วงเรียนปริญญาโท คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ด้วยความที่ต้องคลุกคลีกับวิชาวิเคราะห์ราคาหลักทรัพย์ขั้นพื้นฐาน ทำให้ตัดสินใจสมัครแข่งขันโครงการ มันนี แมเนจเม้นท์ อวอร์ดส์ซึ่งเป็นโครงการของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยที่จัดขึ้นเป็นปีแรก

เชื่อหรือไม่!! รายการนี้ยากกว่าไปแข่งขันรายการ แฟนพันธ์แท้อีก เพราะว่าเป็นการรวบรวมผู้เข้าแข่งขันที่มีความรู้เรื่องการเงินล้วนๆ แถมมีการแข่งกันหลายรอบ ผลปรากฎว่า เราได้รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทำให้มีโอกาสไปดูงานที่เกาะฮ่องกง 10 วัน และได้รางวัลเป็นหน่วยลงทุนมูลค่า 100,000 บาท ถือหน่วยลงทุนแค่วันเดียว เช้ารุ่งขึ้นขายทิ้งทันที

กระทรวงเล่าต่อว่า เมื่อปี 2546 ได้รวบรวมเงินที่ได้จากการขายหน่วยลงทุน 100,000 บาท และเงินเก็บอีกเล็กน้อยมาซื้อ หุ้น ชิน คอร์ปอเรชั่น หรือ INTUCH ราคา 23 บาท และขายในราคา 32 บาท ใช้ระยะเวลาประมาณ 4 เดือน ประทับใจมากช่วงนั้นแอบคิดในใจ เล่นหุ้นง่ายจัง
ผ่านไป 1-2 ปี พอร์ตลงทุนโตเป็น 300,000 บาท ตอนนั้นเน้นลงทุนหุ้นพื้นฐานอย่างเดียว หลักการที่ใช้เป็นแนววีไอล้วนๆ ตอนนั้นยังไม่รู้จักเล่นเทคนิค วิธีการ คือ เน้นดูข้อมูลย้อนหลัง 5 ปี แต่หากอยากวิเคราะห์ราคาหุ้นในอนาคตจริงๆ ทำเพียงย้อนดูข้อมูลคงไม่พอ เพราะราคาหุ้นมักตอบสนองข้อมูลในอดีตไปเกือบหมดแล้ว ฉะนั้นช่วงนั้นจึงต้องวิเคราะห์เกี่ยวกิจการด้วยว่า เขาสามารถสร้างกระแสเงินสดได้เท่าไหร่ แรกๆ ก็วิเคราะห์ผิดๆ ถูกๆ

ชีวิตการลงทุนไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเขาเกริ่นนำ เมื่อปี 2551 เกิดวิกฤติทางการเงิน ทำให้พอร์ตลงทุน ขาดทุน 50 เปอร์เซ็นต์ตอนนั้นเริ่มรู้สึกท้อแท้กับการลงทุนแนววีไอ แม้ราคาจะลดลงมากแต่ไม่ยอมขาย เพราะเชื่อว่าสุดท้ายราคาจะดีดขึ้นมาสู่พื้นฐานที่แท้จริง ซึ่งในความเป็นจริงเราควรขายก่อนแล้วมารอรับที่ราคาข้างล่างถึงจะถูกต้อง
ช่วงนั้นมีหุ้นอยู่ประมาณ 3 ตัว นั่นคือ หุ้น อินโอรามา เวนเจอร์ส หรือ IVL ซื้อราคา 12 บาท เมื่อเจอวิกฤติราคาลดลงมาอยู่ที่ 7 บาท นอกจากนั้นยังมี หุ้น ธนาคารกสิกรไทย หรือ KBINK และ หุ้น ปตท.หรือ PTT หุ้น 2 ตัวหลังจำราคาต้นทุนไม่ได้ ผ่านมานานแล้ว (หัวเราะ)

ผมก็เหมือนนักลงทุนแนว VI ทั่วไป คือ ซื้อหนังสือของคนเก่งๆมาอ่าน อาทิ หนังสือตีแตก ของ ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากรและหนังสือแปลของ "ปีเตอร์ ลินซ์" และ วอร์เรน บัฟเฟตต์

วันอังคารที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2556

"เสี่ยป๋อง" หิ้วหุ้นทิ้งปีนี้ ปมดันพอร์ตทะลุ "พันล้าน"



"เสี่ยป๋อง" หิ้วหุ้นทิ้งปีนี้ ปมดันพอร์ตทะลุ "พันล้าน"

ผ่านมา 2 ปี “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เซียนหุ้นเทคนิคชื่อดัง ซุ่มเงียบขยับพอร์ตลงทุนจาก 200 ล้านบาท สู่ “หลักพันล้าน” ผ่านมาแค่ 11 เดือน

เมื่อ
 “ศาสตร์ฮวงจุ้ย” สำคัญเทียบเท่า “การวิเคราะห์เทคนิค” เซียนหุ้นเทคนิครายใหญ่ “เสี่ยป๋อง -วัชระ แก้วสว่างจึงปฎิบัติการณ์เชิญ “ซินแซ” ประจำตัววัย 60 ปี มาปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ย ห้อง VIP 8 ชั้น 2 อาคารสาธรซิตี้ทาวเวอร์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของ บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส หรือ ASP วันที่ 11 เดือน 11 ปี 2011 เวลา 11:11 นาที ถือเป็นฤกษ์งามยามดี

ปรับเปลี่ยนทิศทางห้อง VIP หมายเลข 8 ไม่นาน กราฟชีวิตการลงทุน “พุ่งพรวด” สิ้นปี 2555 “เสี่ยป๋อง” ฟัน “กำไร” เข้ากระเป๋าประมาณ 45 เปอร์เซ็นต์ ฐานที่มั่นแห่งนี้ ตามความเชื่อ “ศาสตร์ฮวงจุ้ย” จะมีอายุเพียง 5 ปี นับจากปี 2555 “นักลงทุนรายใหญ่” ยึดโบรกเกอร์ เอเซีย พลัส เป็นฐานที่มั่นตั้งแต่ปี 2544 เปลี่ยนห้องประจำการณ์มาแล้วหลายครั้ง

วันแรกของการมีห้องนั่งเทรดส่วนตัว เกิดเหตุการณ์เครื่องบินชนตึก
 World Trade Center ประเทศสหรัฐอเมริกา ผ่านมาถึงปี 2545 หาเงินจากตลาดหุ้นได้เท่าไรถูกเรียกคืนกำไรหมด ในครานั้นพนักงานประจำ บล.เอเซีย พลัส แนะนำให้เขารู้จัก “ซินแส” ท่านหนึ่ง “ทิศไม่ดี ปรับห้องไปก็ไร้ประโยชน์” สิ้นเสียงคำบอกกล่าว “เสี่ยป๋อง” รีบขนของย้ายห้องทำเงินทันทีในปี 2546
เขาย้ายเข้าห้องใหม่ในเดือนส.ค.2546 ช่วงนั้นตลาดหุ้นซื้อขายอยู่แถว 400 จุด ผ่านมา 3 เดือน ตลาดหุ้นทะยานแตะ 800 จุด ทำให้เขาได้ “กำไร” ทันที 500 เปอร์เซ็นต์ ยิ่งตอกย้ำความเชื่อในศาสตร์ฮวงจุ้ยมากขึ้น “อยากได้ลาภเร็ว” เขาบอกกับซินแส เพราะห้องนี้จะมีพลังเหลือเพียง 6 เดือน

รอบนี้จำเป็นต้องย้ายห้องอีกครั้ง
 “ซินแส” บอก เชื่อหรือไม่ ห้องที่สามทำให้เขารอดพ้นจากเหตุการณ์ปฎิวัติทางการเมืองในปี 2549 และเหตุการณ์แคปปิตอล คอนโทรล นั่งประจำการณ์ไม่นานพลังของห้องหมดอีกครั้ง “เสี่ยป๋อง” ต้องย้ายของขึ้นไปหลบภัยบนยอดตึกสาธรซิตี้ทาวเวอร์เกือบปี ก่อนจะลงมาอยู่ห้อง VIP หมายเลข 8

กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” มีโอกาสเจอ “เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” วัย 40 ปี ในลุคที่อ้วนขึ้น 20 กิโลกรัม บรรยายกาศภายในห้อง VIP ยังคงคอนเซ็ปท์เช่นเดิม นั่นคือ ทำห้องให้รกเหมือนอยู่บ้าน บนโต๊ะทำงานร่ายล้อมไปด้วยคอมพิวเตอร์ 7 ตัว แต่ละตัวถูกแบ่งหน้าที่แตกต่างกันไป ตัวที่ 1-3 คอยตรวจเช็คราคาหุ้นไทย ตัวที่ 4 ดูเส้นเทคนิค ตัวที่ 5 เช็คเมล์ ตัวที่ 6 เปิดดูเวปไซด์ทั่วไป ตัวสุดท้าย ตรวจดูหุ้นต่างประเทศ เขาบอกว่า “ใจจริงอยากมีมากกว่านี้” เขาสวม “เฮดโฟน” นั่งประการณ์เก้าอี้ตัวเดิม เพื่อดูกราฟหุ้นก่อนปิดตลาดภาคเช้า

ตรงข้ามโต๊ะทำงานของ
 “เสี่ยป๋อง” จะมีคอมพิวเตอร์อีก 4 ตัว เพื่อคอยบริการเพื่อนสนิทมิตรสหาย วันนั้นถูก “น้องชายคนสนิท” นามว่า “ต่อ” จับจองเก้าอี้ตั้งแต่เช้า

วันนี้พอร์ตลงทุนของผมพุ่งทะลุ “พันล้านบาท“ แล้ว เพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่มีมูลค่าแค่ “200 ล้านบาท” เสี่ยป๋อง-วัชระ แก้วสว่าง” เปิดประเด็นตื่นเต้น ก่อนหันไปสั่งอาหารเที่ยง

มองเทคนิคแบบ VI


มองเทคนิคแบบ VI

เวลาฟังนักวิเคราะห์ทางเทคนิคพูดถึงราคาหุ้นของแต่ละตัวว่าจะไปทางไหน  ควรจะซื้อหรือขาย  หรือมีแนวต้านแนวรับเท่าไรแล้ว  ผมจะไม่สนใจเลย   
           เหตุผลก็เพราะผมไม่เชื่อว่าวิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคจะสามารถทำเงินได้  ประเด็นสำคัญก็คือ  การซื้อ ๆ ขาย ๆ  เมื่อราคาขยับไปเพียงเล็กน้อยนั้นทำให้กำไรที่ได้รับคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น้อยตามไปด้วย  และนี่หมายความว่าราคาหุ้นต้องขยับไปตามที่เราคาดด้วยวิธีทางเทคนิคด้วย  แต่ข้อเท็จจริงก็คือ  ราคาหุ้นอาจจะขยับไปในทางตรงกันข้าม  ผลก็คือเราก็จะขาดทุน  ดังนั้น  ถึงแม้ว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิคอาจจะบอกได้ถูกต้องถึง 60-70%  บอกผิด 30-40%  แต่ในขณะเดียวกัน  เราต้องเสียค่าคอมมิชชั่นทุกครั้งไม่ว่าเราจะถูกหรือผิด  ผลก็คือ  เราก็ไม่เหลืออะไร  เป็นไปได้ว่าเราจะขาดทุนมากกว่ากำไรเพราะเราซื้อขายบ่อยมาก  ดังนั้น  โอกาสที่เราจะรวยหรือได้กำไรมาก ๆ  จากการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคมาซื้อขายหุ้นเป็นประจำจึงเป็นไปได้ยากมาก
           ถ้าจะถามว่าผมไม่ยอมรับเลยใช่ไหมว่าเรื่องของเทคนิคนั้นเป็นสิ่งที่มีเหตุผลและก็อาจจะเป็นจริงสามารถอธิบายการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้  คำตอบของผมก็คือ  ไม่ใช่เรื่องของการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นนั้น  อาจจะมีรูปแบบ”  ที่พอจะคาดการณ์ได้  มันอาจจะมีเหตุผลรองรับ   ว่าที่จริงผมเองก็มักจะสังเกตดูการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นบางตัวอยู่เรื่อย ๆ เมื่อมีเวลาว่าง  ผมไม่ได้ใช้กราฟราคาหรือปริมาณการซื้อขายหุ้นแบบนักเทคนิคมืออาชีพ   ผมแค่นั่งดูการเคลื่อนไหวของราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นแต่ละวันและก็พยายามคิดว่ามีอะไรเกิดขึ้น  “เบื้องหลัง”  หุ้นตัวนั้น  และต่อไปนี้ก็คือสิ่งที่ผมคิดว่ามันอาจจะเป็นสาเหตุที่ทำให้หุ้นเคลื่อนไหวอย่างที่มันกำลังเป็น
           เหตุผลข้อแรก ก็คือเรื่องของจิตวิทยาของนักลงทุน   ผมคิดว่าเป็นไปได้ที่ราคาหุ้นอาจจะเคลื่อนไหวไปตาม  “จิตวิทยาหมู่”  ของ  “มวลมหาประชากรของนักลงทุน”  ที่เข้ามาซื้อขายหุ้นที่พวกเขาเชื่อว่าจะวิ่งขึ้นไปมากด้วยเหตุผลบางอย่าง   ซึ่งจะทำให้ราคาหุ้นตัวนั้นขึ้นไปจริงตามคำทำนาย  หรือที่ในภาษาอังกฤษเรียกว่า  Self- Prophecy  กระบวนการก็คือ  เมื่อนักลงทุนเห็นราคาหุ้นของหุ้น  “ยอดนิยม”  ปรับตัวสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ  พวกเขาก็อยากจะ  “กระโดดขึ้นรถ”  เพื่อขอทำกำไรไปด้วย  นั่นก็คือ  พวกเขาเข้าไปซื้อหุ้น   และการซื้อหุ้นของพวกเขาก็มีส่วนที่จะช่วยผลักดันให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น  ดังนั้นหุ้นก็จะวิ่งขึ้นต่อไปตามที่พวกเขาคาดไว้   และนี่ก็จะดึงดูดให้นักลงทุนคนใหม่เข้ามาซื้อเพิ่มเพื่อหวังทำกำไรและก็ทำให้หุ้นเพิ่มต่อขึ้นไปอีก
            เหตุผลข้อสอง ที่อาจจะเป็นเบื้องหลังของราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ  หรือปรับตัวลงมาเรื่อย ๆ  “ตามเทคนิค”  ก็คือเรื่องของการ  “มีข้อมูลที่ไม่เท่ากัน”  ของนักลงทุนเกี่ยวกับตัวบริษัทนั้น ๆ  ยกตัวอย่างเช่น  บริษัทอาจจะค้นพบเหมืองทองคำ  หรือกำลังได้งานหรือสัญญาที่จะทำให้บริษัทมีผลประกอบการที่ดีเยี่ยมในอีกหลายปีข้างหน้า  คนที่รู้ก่อนก็คือบุคคลภายในบริษัท </SPANInsider) หรือคนที่เกี่ยวข้อง ซึ่งก็จะเข้ามาซื้อหุ้นก่อนและทำให้ราคาหุ้นขยับปรับตัวขึ้น   ครั้นแล้วคนเหล่านั้นก็จะบอกคนใกล้ชิดหรือเพื่อนซึ่งก็จะเข้ามาซื้อเป็นรายต่อไปซึ่งก็จะทำให้หุ้นปรับตัวขึ้นไปอีก   ต่อมานักวิเคราะห์ซึ่งสังเกตเห็นราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นที่เพิ่มขึ้นก็ค้นพบข้อมูล  อาจจะโดยการเปิดเผยของบริษัท  ก็จะออกบทวิเคราะห์แนะนำให้ซื้อหุ้น   ต่อจากนั้น  นักลงทุนสถาบันหรือนักลงทุนรายใหญ่ก็อาจจะเข้ามาซื้อหุ้นล็อตใหญ่เก็บเข้าพอร์ตส่งผลให้ราคาวิ่งขึ้นอย่างแรง  และสุดท้าย  นักลงทุนรายย่อยประเภท  “แมงเม่า”  ก็ได้รับรู้ข่าวสารที่  “ดีสุดยอด”  นั้นและเข้ามาซื้อหุ้นซึ่งก็ยิ่งทำให้ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปอีก  กระบวนการทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดทันทีแต่ค่อย ๆ  ทยอยเกิดขึ้นส่งผลให้ราคาค่อย ๆ  ปรับตัวขึ้น  อาจจะเป็นหลายเดือน  ดังนั้น  นี่ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้นักเทคนิคสามารถเข้ามาทำกำไรได้ในจุดใดจุดหนึ่ง

วันอังคารที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เปลี่ยนชีวิตด้วยศาสตร์แห่งหุ้น“วีระพงษ์ ธัม”พอรต์ร้อยล้าน




วิถีแห่งเม่าขัดใจพ่อ-แม่ อย่ายุ่งหุ้นคือการพนันแต่เมื่อ หลินวีระพงษ์ ธัม นักลงทุน VI พิสูจน์แล้ว นี่คือ หนทางนำไปสู่ พอร์ต 9 หลัก
ไม่เคยคิดจะรวยด้วยศาสตร์แห่งหุ้น ก่อนสมองจะผุดความคิดนี้ในช่วงปี 2546หลินวีระพงษ์ ธัม เซียนหุ้น VI ในฐานะหนึ่งในกรรมการสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เป็นเพียง มนุษย์เงินเดือนธรรมดาๆคนหนึ่งผู้หลงรักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ

ช่วงชีวิตหนึ่ง เขาเคยเป็น Backpacker นั่งรถไฟฟ้าไปตามเส้นทางสายไหมจากเมืองปักกิ่งประเทศจีน ไปจนถึงสุดขอบเมืองจีน เพื่อไปดู คาราโครัมไฮเวย์ถนนไฮเวย์ที่มีความสูง 3,000-4,000 เมตร จากระดับน้ำทะเล และไปเที่ยวชมวัดโบราณอายุ 1,000-2,000 ปี

วันนี้ หนุ่มหลิน เป็นเจ้าของพอร์ตลงทุนหลักร้อยล้าน และยังเป็นผู้ก่อตั้งเว็บไซด์ 10,000 li.net มีแฟนคลับกดถูกใจกว่า 3,711 คน เว็บไซด์นี้เปิดมา 3-4 ปี หวังบอกเล่าเรื่องราวการลงทุนต่างๆ เพื่อเป็นวิทยาทานแก่ เม่าน้อยมือใหม่

วีระพงษ์ ธัม อุ้ม น้องคิน ลูกชายวัย 1 ปี 4 เดือน พร้อมพี่เลี้ยงคู่ใจ มาเล่าเส้นทางการลงทุนแนว VI ให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟัง "ผมเป็นคนเชื้อสายไทย-มาเลเซีย คุณพ่อเป็นคนมาเลเซีย ท่านเป็นนักร้องชื่อดังออกแผ่นเสียงมาแล้วหลายร้อยแผ่น ไปถามคนรุ่นเก่าๆย่านเยาวราช แทบจะไม่มีใครไม่รู้จัก "ถัน ซุ่น เฉิง"

ก่อนครอบครัวจะย้ายมาทำธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัย ภายใต้ชื่อ แคปปิตอลพลัส คอนซัลติ้ง กรุ๊ปย่านสุวินทวงศ์ พวกเราเคยใช้ชีวิตอยู่แถวเยาวราช ธุรกิจเล็กๆแห่งนี้ คุณแม่ใช้หาเงินเพื่อเลี้ยงดูผมและน้องชายวัย 31 ปี ปัจจุบันน้องชายเป็นคนดูแลธุรกิจของครอบครัว

ชายหนุ่มอายุ 33 ปี ดีกรีปริญญาตรี เกียรตินิยมอันดับ 2 คณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขายานยนต์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จิบกาแฟ ก่อนเล่าต่อว่า หลังเรียนจบเขาเลือกที่จะตรงดิ่งไปทำงานที่บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย” (SCC) ในตำแหน่งเจ้าหน้าที่การตลาดระหว่างประเทศ สายธุรกิจกระดาษ ตอนโน่นปูนซิเมนต์ไทยกำลังบุกเบิกธุรกิจกระดาษในเมืองจีน

งานท้าทาย ไม่อยากนั่งเหงาในโรงงาน ทันทีที่ความคิดนี้เกิดขึ้นในหัว ผมไม่ลังเลที่จะไปยื่นใบสมัคร (ยิ้ม)
ทำงานแรกๆรู้สึก สนุก ตื่นเต้นครั้งหนึ่งเคยโดนคนจีนหลอก (หัวเราะ) เราสั่งของไปแบบหนึ่ง แต่ดันส่งมาอีกแบบ ต้องไปนั่งแคลมมูลค่าหลายล้านบาท ทำงานได้ 4-5 ปี ก็ลาออก ถามว่าภูมิใจมั้ย (ยิ้ม) อย่างน้อยก็เคยทำตั้งแต่บริษัทเพิ่งตั้งไข่ จนสามารถนำเข้ากระดาษได้ปีละ 1,000 ล้านบาท


อยากเป็นเจ้าของธุรกิจ ความคิดนี้ผุดปุดๆในหัว มาตั้งแต่เด็กๆ!!

นักลงทุนสายตาสั้น



การวิเคราะห์หามูลค่าของหุ้นเพื่อการลงทุนนั้น แม้ว่านักวิเคราะห์ส่วนใหญ่จะใช้ค่า PE ค่า PB หรือตัวเลขอื่น ที่เป็นตัวเลขง่าย ๆ

ใช้ข้อมูลเพียงปีเดียวหรือข้อมูลปัจจุบัน แต่ถ้าทำให้ถูกต้องตามทฤษฎีแล้ว จะต้องประมาณ กระแสเงินสดหรือปันผลที่บริษัทจะจ่ายตลอดไปในอนาคต เสร็จแล้วต้องคำนวณ มูลค่าส่วนลดหรือ ค่าปัจจุบันของกระแสเงินทั้งหมดนั้นก็จะได้ว่า มูลค่าหุ้นควรเป็นเท่าไร ซึ่งวิธีคำนวณแบบนี้เป็นเรื่องยากที่คนทั่วไปจะทำได้ ดังนั้นเราจึงเน้นดูตัวเลขง่ายๆ เพียงตัวเดียวเป็นค่า PE หรือพูดง่ายๆ ใช้ค่า E หรือกำไรเพียงปีเดียว

แต่พอเราใช้ค่า PE ไปนาน ๆ เข้าเราก็เลยลืมไปว่าค่า E หรือกำไรต่อหุ้นเพียงปีเดียวนั้น ที่จริงมีสมมุติฐานต่อว่า จะต้องเป็นกำไรที่จะต้องต่อเนื่องไปตลอดไม่มีที่สิ้นสุด และต้องไม่ลดลงหรือหดหายไป และนี่คือสิ่งที่ผมจะพูดในวันนี้ เนื่องจากกำไรบริษัทไม่น้อยเป็นกำไรที่ไม่ต่อเนื่อง บางบริษัทอาจจะกำไรต่อไปเพียงปีสองปี บางบริษัทอาจจะยาวไป 8 ปีหรือ 15 ปี หลังจากนั้นแล้วกำไรอาจจะหายไปมากหรือมีความไม่แน่นอนสูง

ดังนั้น การใช้ค่า PE กำหนดมูลค่าหุ้นอาจไม่ถูกต้อง เฉพาะอย่างยิ่งคือมูลค่าหุ้นสูงเกินความเป็นจริง ทำให้การตัดสินใจซื้อขายหุ้นผิดพลาดไม่เป็น “VI” ปัญหานี้อยากเรียกว่าเป็นการมองกิจการที่ไม่ไกลพอหรือเป็นเรื่องของ นักลงทุนสายตาสั้นมาดูกันว่ามีกิจการหรือบริษัทแบบไหนที่กำไรไม่ต่อเนื่องตลอดไป

บริษัทกลุ่มแรกที่เห็นได้ชัดว่ากำไรน่าจะไม่ต่อเนื่อง คือบริษัทที่มี กำไรพิเศษอาจเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้ง ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการขายทรัพย์สินก้อนใหญ่แล้วเกิดกำไรขึ้นมากหรืออย่างมีนัยสำคัญ กรณีแบบนี้ต้องไม่ใช้ค่า PE มาเป็นตัวบอกว่าหุ้นถูกหรือแพง หรือถ้าจะใช้ PE จะต้องตัดกำไรส่วนที่เป็นรายการพิเศษออก ซึ่งจะทำให้มูลค่าหุ้นหายไปมาก

อย่างไรก็ตาม ช่วงหลังนี้ มักจะเห็นบริษัททำ กองทุนอสังหาริมทรัพย์โดยการขายทรัพย์สินบางส่วนเข้ากองทุน ซึ่งทำให้บริษัทมีกำไรมากขึ้น ผิดปกติซึ่งนักวิเคราะห์หรือนักลงทุนไม่ควรที่จะให้มูลค่ากับกำไรนี้มากนัก

แต่ในบางบริษัทที่ทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้เช่าเป็นปกติ และมีทรัพย์สินที่สร้างรายได้ค่อนข้างมากนั้น มักจะขายทรัพย์สินเข้ากองทุนอยู่เรื่อย ๆ บางทีเกือบจะทุกปี ในกรณีแบบนี้เขาอาจอ้างได้ว่ากำไรของเขาที่ได้มาอย่างผิดปกติ อาจกลายเป็นเรื่อง ปกติและดังนั้นน่าจะใช้ค่า PE ในการคำนวณมูลค่าหุ้นได้ แต่สำหรับผมแล้ว คิดว่าเราไม่ควรทำอย่างนั้น

วันจันทร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

“ออมก่อน รวยกว่า” “ตลาดหุ้น” ตัวเลือก “ปลอดภัย”



ตลาดเงิน-ตลาดทุนตั้งท่าผันผวนครึ่งปีหลังโฆสิต-ภาววิทย์-วรวรรณสมาชิกครอบครัวบัวหลวงกระพริบสัญญาณเตือนรีบออมเผื่อมีเรื่องเซอร์ไพร์ส"

เศรษฐกิจไทยชะลอตัว กำลังซื้อหด การเมืองไม่สเถียรภาพ ตลาดหุ้นผันผวน

อาการน่าเป็นห่วง เหล่านี้ ส่อแววจะตั้งเค้า ในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2556 หลังสัญญาณเตือนภัยถูกส่งถี่ขึ้นเรื่อยๆจากคนในแวดวงตลาดเงิน-ตลาดทุน วางแผนการเงินให้ถูกวิธี จึงกลายเป็นเรื่องที่เหล่านักลงทุนมือใหม่หันมาใส่ใจมากขึ้นในยามนี้

ยุคเศรษฐกิจผันผวน เราต้องมีเป้าหมายการเงินชัดเจน ทุกคนต้องบริหารเงินให้เป็นประโยคตอกย้ำความสำคัญของการออมงินของโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ประธานกรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ที่พูดบนเวที การเงินมั่นคงกับครอบครัวบัวหลวง

อาจาย์โฆสิต ย้ำว่า ท่ามกลางความไม่แน่นอนมากมาย เราทุกคนอาจต้องใส่ใจเรื่องออมเงินมากขึ้น อันดับแรกต้องรู้จักบริหารเงินให้เหมาะกับความต้องการของตัวเอง ที่สำคัญลงทุนให้เข้ากับยุคสมัย ปัจจุบันครอบครัวคนไทยมีขนาดเล็กลงเมื่อเทียบกับในอดีต แต่แปลกแม้ไซด์จะเล็ก แต่ทำไมภาระค่าใช้จ่ายกลับไม่เล็กตาม (ยิ้ม)

ผมไม่ขอแจกแจงการลงทุนส่วนตัวนะ แต่จะบอกว่าการบริหารจัดการเงิน ถือเป็นเรื่องจำเป็นมาก นับวันจะยิ่งมีความสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ในระยะยาว ทุกครอบครัวควรมีสภาพคล่องที่ดี ฉะนั้นจงเลือกลงทุนตามสภาพคล่องของตัวเอง

แพทภาววิทย์ กลิ่นประทุม ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุน บล.บัวหลวง และผู้ก่อตั้ง Stock2Morrow เล่าว่า เศรษฐกิจไม่แน่นอน ตลาดหุ้นลุ่มๆดอนๆเยี่ยงนี้!! คนไทยต้องบริหารงานให้ดี ค่าครองชีพสูงขึ้น สังคมเปลี่ยนไป ทำงานอย่างเดียวไม่เพียงพอใช้จ่ายแล้ว ครั้นจะไปลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ก็แพงหมดแล้ว ที่ดินไม่ต้องพูดเลย ราคาขึ้นสูงมา ทองคำ ราคายิ่งผันผวน ซื้อตอนนี้เหนื่อย!!

 ฉะนั้นออมเงินด้วยหุ้น ทางเดียวที่ดีที่สุด ท่ามกลางเศรษฐกิจเช่นนี้ของถูก ในตลาดหุ้นยังเหลือเพียบ หาดูดีๆ
ส่วนตัวชอบออมเงินในตลาดหุ้นมากสุด เรียกว่าเทหมดเป๋า 100% แบ่งเป็นหุ้นพื้นฐาน 70% ทุกวันนี้ในพอร์ตมีหุ้นประมาณ 10 ตัว อาทิ กลุ่มพลังงาน กลุ่มแบงก์ กลุ่มสื่อสาร เน้นช้อนตัวที่มีเงินปันผลสูงๆประมาณ 6-7% ค่า P/E ไม่สูง ผลประกอบการขยายตัวสม่ำเสมอ

ถามว่าทำไมต้องมีหุ้นหลายกลุ่ม เราต้องกระจายความเสี่ยง ผลตอบแทนของหุ้นพื้นฐาน ถือว่าขยายตัวเรื่อยๆ ขอไม่บอกตัวเลข แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งกำไรจากหุ้นพื้นฐานจะเติบโตแบบก้าวกระโดด

ส่วนที่เหลืออีก 30% จะอยู่ในรูปของหุ้นเทคนิค ไม่เคยจำกัดว่าต้องมีหุ้นประเภทนี้กี่ตัว ช่วงที่ตลาดอยู่ในช่วงขาลงแบบนี้ ผมจะรีบลงทุน มันเป็นช่วง ไทยแลนด์ แกรนด์ เซล (หัวเราะ) หลายคนอาจมองว่า ตอนนี้หุ้นไทยเป็น ขาลง แต่สำหรับผม คือขาขึ้น ในรอบ 1 ปี จะมีวิกฤติเกิดขึ้น 2-3 ครั้ง ถามว่าตลาดหุ้น 6 เดือนหลังจะมีหน้าตาแบบไหน ท่าทางจะผันผวนหนักขึ้นเรื่อยๆ คนที่นิยมเล่นสั้น ต้องเล่นเทคนิคสถานเดียว แต่ถ้ามองรวมๆทั้งปี หุ้นยังคงเป็นขาขึ้น เพราะเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาจะดีขึ้น

วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556




9 กูรู"บูมเชียร์" หุ้นไทย ทองคำไม่เจ๋งอย่ายุ่ง

มีเงิน แต่คิดไม่ตกว่าสินทรัพย์ใดหนอ จะสร้างผลตอบแทนคุ้มค่า บนความผันผวน ตลาดทุน-ทอง-ค่าบาท-ดอกเบี้ย กูรูฟันธง"ตลาดหุ้น" ยังน่าสนใจที่สุด

ทองลง หุ้นผันผวน บาทแข็ง ดอกเบี้ยต่ำ สถานการณ์เยี่ยงนี้เม่าน้อยมือใหม่คงมืดแปดหน้า มีเงินแต่ไม่รู้จะ ต่อยอดเงินในสินทรัพย์ประเภทใด ทุกตลาดพร้อมใจ ตกอยู่ในอาการ ผันผวนเกินคาดเดา

ในมุม ตลาดหุ้นเมื่อต้นปีที่ผ่านมา เหล่ากูรูออกมาตบโต๊ะทำนาย SET INDEX 1,700 จุด สิ้นปีนี้ ได้เห็นแน่!! หลังสร้างสถิติสูงสุดรายวัน ล่าสุดปิดตลาดสูงสุด”1,598 จุด (15 มี.ค.56) ยิ้มได้ไม่นาน ดัชนีก็ทยอยปรับตัวลดลงมาแตะจุดต่ำสุด”1,470 จุด ในช่วงเดือนเม.ย.

เซียนทองคำออกมาฟันธงเอาใจ แฟนพันธุ์แท้คุณมีโอกาสสัมผัสราคา 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์!! สุดท้ายเจอแรงเทขายทองคำของไซปรัส ส่งผลต่อจิตวิทยาการลงทุน ทำให้ในช่วงวันที่ 12-16 เม.ย.ที่ผ่านมา ราคาทองคำในตลาดโลกอ่อนตัวลงกว่า 200 เหรียญต่อออนซ์

 ล่าสุด ผู้รู้ออกมาส่งสัญญาณรอบใหม่ สิ้นปี 56 ราคาทองคำ อาจทำได้ดีสุดที่ระดับ 1,520 เหรียญต่อออนซ์ ขณะที่บางรายทำนาย ต่ำสุด” 1,100 เหรียญต่อออนซ์

ส่วน ค่าเงินบาทในช่วง 3 เดือนผ่านมา (ก.พ.-เม.ย.) แข็งค่าไปแล้วประมาณ 6-7% สูงสุดในภูมิภาค จากระดับ 29.81 บาทต่อดอลลาร์ในเดือนก.พ.56 มาอยู่ที่ 29.74 บาท ในเดือนมี.ค.และ 29.23 บาท ก่อนจะลงลึกไปแตะ 28.54 บาทในเดือนเม.ย.และขยับเป็น 29.28 บาท

ค่าบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อไปจาก 3 ปัจจัย เศรษฐกิจที่ดีของเอเซียและอาเซียน สภาพคล่องทั้งในสหรัฐ ยุโรปและญี่ปุ่นไหลกลับเข้ามาลงทุน และแรงกดดันจากการเก็งกำไรที่เข้ามาสมทบคำทำนายของ กอบศักดิ์ ภูตระกูลผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL)

ด้าน ดอกเบี้ยเงินฝาก คงในระดับไม่ถึง 4% (ฝากประจำ24 เดือน)

โจ" อนุรักษ์ บุญแสวง นายกสมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย) เจ้าของพอร์ตลงทุน 9 หลัก วิเคราะห์เรื่องนี้ให้ กรุงเทพธุรกิจ BizWeek” ฟังว่า ความผันผวนของสินทรัพย์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือทองคำ ถือเป็นเรื่องปกติ การลงทุนในสินทรัพย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนักลงทุน

อยาก ชนะความผันผวน ข้อมูลต้องแน่น ถ้ามั่นใจจะกลัวทำไม!!

หุ้น-ทองคำจะขึ้นหรือลง หากคุณไม่ยึดติดในเรื่องของ ราคามากไปกว่าความมั่นใจในข้อมูล ลงทุนอย่างไรก็ได้ กำไรเชื่อสิ!! หลักการลงทุนแนว VI เราไม่เคยสนใจราคามากไปกว่าพื้นฐาน วีไอของจริงมักซื้อหุ้นตอนมีข่าวร้ายชั่วคราวและขายหุ้นช่วงมี ข่าวดีชั่วคราวเช่น มีกำไรจากรายการพิเศษ เป็นต้น

โจ ลูกอีสาน นามแฝงในเว็บไซต์ Thaivi ถือโอกาสแนะนำมือใหม่ที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี ว่า คุณควรลงทุนในตลาดหุ้น 100% แบ่งเป็นลงทุนด้วยตัวเอง 50% ที่เหลืออีก 50% นำไปลงทุนผ่านกองทุนรวมต่างๆ

ถามว่าทำไมถึงให้น้ำหนักไปในฝั่งตลาดหุ้น? จะเล่าสถิติให้ฟัง ตลอด 38 ปี นับตั้งแต่ตลาดหุ้นก่อตั้งในปี 2518 “หุ้นไทยให้ผลตอบแทน 94 เท่า หรือคิดเป็นผลตอบแทนทบต้น 12-13% ต่อปี


บทเรียนจากกรุงปราก

โดย : ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ช่วงสงกรานต์ ผมได้ไปท่องเที่ยว สาธารณรัฐเช็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรุงปราก ที่เป็นเมืองหลวงของประเทศ และเช่นเคย นอกจากความบันเทิงหย่อนใจแล้ว

ผมมัก วิเคราะห์ ถึงประวัติศาสตร์ ความเป็นไป สถานะปัจจุบัน และคิดไปถึงอนาคตว่าประเทศหรือดินแดนที่กำลังเดินอยู่นั้น จะเป็นอย่างไรต่อไป แต่มันคงไม่มีความหมายมากนัก หากผมจะไม่โยงมาว่าข้อมูลที่ได้จากการศึกษาเมืองปรากนั้นมันมีความหมายอะไรกับเมืองไทย ลองมาดูกัน

ข้อแรกที่เห็นคือ กรุงปรากนั้นดูเหมือนจะยังเป็นเมือง โบราณ เพราะอาคารบ้านเรือนและร้านค้าต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นตึกเก่าที่อาจจะสร้างมาแล้วหลายร้อยปี หรือบางแห่งอาจจะเป็นพันปี ตึกเหล่านี้สวยงามเต็มไปด้วยศิลปะ แต่ที่สำคัญยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน และแน่นอนว่าทุกอย่างภายในอาคาร มีการปรับปรุงใส่เครื่องมืออุปกรณ์ของโลกสมัยใหม่ ที่ทำให้มันทันสมัยมีประสิทธิภาพในการอยู่อาศัยและทำงานในโลกสมัยใหม่

ข้อนี้ถ้าจะพูดไปมีความละม้ายคล้ายกับเมืองหลวงของหลายประเทศในยุโรป ที่มีการอนุรักษ์อาคารและของเก่าๆ ไว้ ซึ่งผลพลอยได้ที่สำคัญคือ ทำให้เมืองสวยและน่าท่องเที่ยว ความแตกต่างของกรุงปรากเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ในยุโรป คือปรากนั้นแทบไม่มีตึกสูงเลย และบ้านเรือนที่อยู่อาศัยก็ไม่แออัด นี่ทำให้ปรากเป็นเมือง สบาย ๆ ที่ดูผ่อนคลาย

เมืองอาจจะไม่มีอะไรที่ ยิ่งใหญ่ ระดับโลก แต่มีทุกอย่างครบ ไล่ตั้งแต่ประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ของโบฮีเมียน ไปจนถึงการแสดงละครเวทีและโอเปร่าชั้นนำและพิพิธภัณฑ์ที่มีอยู่มากมาย สถานที่ชอปปิงของที่ระลึกสวยงามน่าสนใจ ทำให้การท่องเที่ยวน่าจะเป็นรายได้หลักอย่างหนึ่งของเช็ก

สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งอย่างหนึ่ง เมื่อเดินตามสถานที่ท่องเที่ยวของปราก คือ ร้านนวดแบบไทยซึ่งเสนอการนวดทุกประเภท เช่น นวดแผนโบราณ นวดน้ำมันหรือนวดฝ่าเท้า โดยพนักงานที่ผมดูแล้วน่าจะเป็นคนไทย ที่เดินทางไปจากเมืองไทยเป็นส่วนใหญ่ ราคาค่านวดนั้นถ้าใช้มาตรฐานของฝรั่งแล้วถือว่าไม่แพง ราคาเริ่มต้นอาจจะ 300-400 บาทไทย ไม่ต่างจากเมืองไทยมากนัก เพียงแต่เวลาอาจจะสั้นกว่า

สิ่งที่ทำให้ผมทึ่งนั้นไม่ใช่ว่าเจอร้านนวดไทย แต่ทึ่งเพราะมันมีค่อนข้างมากเห็นทั่วไปหมด คิดว่าร้านนวดนั้นน่าจะเป็นเป็นธุรกิจที่ดีมากในเมืองท่องเที่ยวแถบประเทศยุโรปที่มีอากาศหนาวเย็น ที่คนเดินเที่ยวกันมากจะรู้สึกเมื่อยอยากพักนวด การที่มีร้านนวดแบบไทยที่นักท่องเที่ยว ทั่วโลก เห็นและคุ้นเคยนั้น ผมคิดว่าเป็น ทรัพย์สิน ที่ประเทศไทยควรใช้ให้เป็นประโยชน์

วันพุธที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2556

“ลูกโป่งใกล้แตก” แล้วหรือยัง ?



รวยด้วยรักรวยด้วยหุ้น:หุ้นไทยใกล้จุดสูงสุดเดิม 1,789 จุด...เป็น ลูกโป่งใกล้แตกแล้วหรือยัง ?
คอลัมน์รวยด้วยรัก...รวยด้วยหุ้น

โดยมนตรี ศรไพศาล (montree4life@yahoo.com; www.oknation.net/blog/richwithlove; @montrees)

ช่วงนี้ ผมได้รับคำถามบ่อยมาก ว่า ตลาดหุ้นไทย เป็นจุด เป็น ลูกโป่งใกล้แตกแล้วหรือยัง ?ก็สมควรอยู่ เพราะช่วงนี้ ตลาดหุ้นไทยระดับใกล้ๆ 1,600 จุด ก่อนตกหนักในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา นับว่า ตั้งแต่ก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์ฯมา ในปี 1975 นั้น มีเพียงเดือนเดียวที่ดัชนีสูงระดับนี้ คือ เดือน มกราคม 1994 ซึ่งดัชนีตลาดฯ ขึ้นสูงสุด ของวันที่สูงสุด 1,789 จุด

ผมมองเร็วๆแล้ว ผมคิดว่า ไม่ใช่ด้วยเหตุผล ดังต่อไปนี้

1.ระดับลูกโป่งวัดด้วยอะไร ? ตอนนั้น กับตอนนี้ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? ผมวัดระดับ ลูกโป่งด้วย เงินกู้สำหรับซื้อหุ้นหรือ ที่เรียกว่า มาร์จิ้นโลนซึ่งในยุค 1994-1997 นั้น ยอดอยู่แถวๆ 1.2-1.5 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบัน ยอดอยู่เพียงประมาณ 5-5.5 หมื่นล้านบาท เท่านั้น

และหากมองเทียบกับขนาดตลาดฯ ช่วงโน้นมูลค่าตลาดสูงๆเพียง 3.5 ล้านล้านบาท แต่ปัจจุบันสูงถึง 13 ล้านล้านบาท กล่าวได้ว่า ขนาดตลาดฯใหญ่ขึ้น กว่า 3 เท่า แต่เงินปล่อยกู้ซื้อหุ้นลดลงต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง กล่าวได้ว่า ระดับสัดส่วนความเป็นลูกโป่งลดลงมากเมื่อเทียบกับขนาดตลาดหุ้น

2.เวลาลูกโป่งแตก แสดงว่าหุ้นแพงมากใช่ไหม ? ตอนนั้น กับตอนนี้ เหมือนหรือต่างกันอย่างไร ? ผมคิดว่าใช่เลยครับ ถ้าหุ้นไม่ใช่แพงมาก ก็คงไม่ตกแรงมาก ตอนนั้น ระดับตลาดหุ้นซื้อขายกันที่ PER ประมาณ 20 เท่า เมื่อเทียบกับปีข้างหน้า และปัจจุบันจะอยู่ที่ประมาณ 14 เท่า

ผมมักชวนให้นักลงทุนคำนวณส่วนกลับ PER ด้วย เพราะ PER คือ ราคาหุ้น / กำไรต่อหุ้น และ ส่วนกลับ คือ 1/PER = กำไรต่อหุ้น / ราคาหุ้น คือ ผลตอบแทน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นปันผล และส่วนที่เหลือบริษัทเก็บไว้โต ซึ่งก็ยังเป็นของเจ้าของหุ้นอยู่ดี


ยุคที่ PER 20 เท่า ผลตอบแทนหรือส่วนกลับก็คือ 1/20 = 5%

และปัจจุบัน PER ประมาณ 14 เท่า ผลตอบแทนหรือส่วนกลับก็คือ 1/14 = 7%

โดยเฉพาะเมื่อเทียบผลตอบแทนกับเงินฝาก ช่วงนั้น คือ 20 เท่า คือผลตอบแทน 5% ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับดอกเบี้ยสถาบันการเงิน ใกล้ๆ 10% ! แต่ ปัจจุบัน PER 14 คือ ผลตอบแทน 7% ก็ยังสูงกว่าดอบแทนธนาคาร ซึ่งอยู่ระดับ 2-3% เท่านั้น จึงยังไม่เห็นแรงกดดันที่น่ากลัวว่า เงินจะแห่ออกจากตลาดหุ้น ไปฝากสถาบันการเงินแต่อย่างใด

เงินปอนด์...เป้าหมายต่อไปของ จอร์จ โซรอส


 
โดยทีมงานจัดการกองทุนบัวหลวง
ศิรารัตน์ อรุณจิตต์

จอร์จ โซรอส….หรือที่เรารู้จักเขาในฐานะพ่อมดการเงิน เราคงจะคุ้นหูกันดีเพราะเคยทำกำไรมหาศาลจากการโจมตีค่าเงินบาทและสกุลเงินของอีกหลายชาติในเอเชียมาแล้วเมื่อช่วงวิกฤตการเงินในเอเชีย ซึ่งมีจุดเริ่มต้นที่ประเทศไทยในปี 2540

(เตรียม) โจมตี....ขิงยิ่งแก่ยิ่งเผ็ด ต้องยกให้ปู่จอร์จผู้นี้ แม้อายุจะใกล้ 83 ปีแล้ว แต่ความเก๋ายังเยอะ ซึ่งล่าสุดมีรายงานช่วงกลางเดือน ก.พ.ว่าเขาสามารถทำเงินเข้ากระเป๋าตัวเองได้เกือบ 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 29,840 ล้านบาท) เมื่อเดือน พ.ย.ปีที่ผ่านมา จากการเข้าเก็งกำไรค่าเงินเยนของญี่ปุ่นหลังจากเยนอ่อนค่าลงกว่า 17% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐนับตั้งแต่ต้นไตรมาส 4 ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดวิกฤตเงินเยนอ่อนค่าที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ไตรมาสสุดท้ายปี 2528 เป็นต้นมา การโจมตีหรือเก็งกำไรค่าเงินของเขาจะเป็นไปในหลายรูปแบบ

ซึ่งกรณีล่าสุด หลังจากปู่จอร์จพิจารณาแล้วว่าญี่ปุ่นจะต้องแก้ปัญหาสถานการณ์ด้านค่าเงินแน่ๆ ก็มีการเก็งกำไรค่าเงินเยนล่วงหน้าและการลงทุนในสินทรัพย์อื่นๆ ที่จะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินเยน ซึ่งต่อมาธนาคารกลางญี่ปุ่น (BoJ) ก็ใช้มาตรการด้านการเงินเพื่อเอาชนะภาวะเงินฝืดตามแรงกดดันของรัฐบาลใหม่ซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ตามคาด

เงินปอนด์....สกุลเงินของประเทศอังกฤษในวันนี้กำลังเผชิญกับความยากลำบากในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ที่เมื่อภาคการคลังตึงตัว ภาคการเงินก็ต้องช่วยผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้อังกฤษสูญเสียความน่าเชื่อถือระดับสูงสุดไปเมื่อปลายเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา โดย Moody’s ลดอันดับของอังกฤษลง 1 ขั้น จาก Aaa สู่ Aa1 ขณะที่ Standard & Poor และ Fitch Rating ยังคงอันดับ AAA แต่ให้มุมมองเชิงลบไว้ ซึ่งสะท้อนแนวโน้มว่ามีโอกาสที่จะถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

หุ้นล่าฝัน



หุ้นล่าฝัน
โดย : ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

ยามที่ตลาดหุ้นกำลังบูมสุดขีด ถ้าสังเกตดูคร่าวๆจะพบว่า หนึ่ง บริษัทขนาดใหญ่มีกำไรเพิ่มขึ้นบ้าง ส่วนใหญ่ไม่มากนักคิดทั้งปีก็อาจจะโตซัก 10%-15%

เรียกว่าไม่ได้โดดเด่นมากขนาดทำให้หุ้นขึ้นถึง 30%-40% อย่างที่เกิดขึ้น
แต่สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นกับบริษัทขนาดใหญ่คือ พวกเขามักจะมีแผนการลงทุนเพิ่มขึ้นมาก กู้เงินหรือบางทีเพิ่มทุนขนานใหญ่เพื่อจะไปลงทุน ทั้งในและต่างประเทศ

สอง บริษัทเล็กๆ มักมีกำไรโตแบบ ก้าวกระโดดซึ่งมีสาเหตุจากภาวะเศรษฐกิจหรืออุตสาหกรรมดีขึ้นและอื่นๆ อีกมากมายรวมถึงบริษัทเหล่านั้นมีขนาดเล็ก กำไรที่เคยมีมักน้อยหรือมีฐานต่ำ ดังนั้นเวลากำไรดีขึ้น เมื่อคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จะสูง บางบริษัทจึงโตได้เป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นไปนั้นกลับสูงลิ่วยิ่งกว่ามาก ผลคือ หุ้นตัวเล็กๆ มีค่า PE สูงมาก ค่า PE 30-40 เท่าจึงเป็นเรื่องปกติสำหรับหุ้นกลุ่มนี้

สาม หุ้นจำนวนไม่น้อย กำไรของบริษัทไม่ได้โดดเด่นนัก บางบริษัทอยู่ในธุรกิจหรืออุตสาหกรรมโตยากหรือแข่งขันหนัก การหวังให้กำไรเติบโตจึงทำได้ยาก ดังนั้น พวกเขาจะหาอะไรมาเป็นตัว ขับเคลื่อนหุ้นที่มักพร้อมจะวิ่งอยู่แล้วถ้ามีอะไรมากระตุ้นในภาวะแบบนี้?

กลยุทธ์ที่จะใช้ขับเคลื่อนราคาหุ้นที่ ทรงพลังมากอย่างหนึ่ง ในภาวะตลาดหุ้นกระทิงดุคือทำธุรกิจที่กำลังร้อนแรง เป็นธุรกิจแห่งอนาคต เป็นธุรกิจใหม่มีศักยภาพเติบโตสูงมาก และเป็นธุรกิจที่บริษัทเองอาจทำอยู่แล้ว หรือเป็นธุรกิจเกี่ยวข้องที่บริษัทอ้างว่าสามารถทำได้และมีความรู้ความสามารถเพียงพอ

วันเสาร์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2556

หลักที่คนไม่ทำตาม



วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยพูดหลักการของเขาไว้ว่า "มีคนเอาไปกล่าวอ้างมากมาย แต่น้อยคนที่จะทำตาม" คงเป็นเรื่องดูดี ดูเท่
สำหรับคนที่อ้างคำพูดของบัฟเฟตต์ แต่ลึกๆ แล้ว เขาคงไม่เชื่อหลักการของบัฟเฟตต์ จะทำกำไรได้ดีเท่ากับแนวคิดและวิธีการของเขาเอง เขาอาจเชื่อสิ่งที่บัฟเฟตต์ทำ ว่าเป็นสิ่งที่ดีสำหรับบัฟเฟตต์ หรือเป็นสิ่งที่ดีในตลาดหุ้นอย่างตลาดหุ้นนิวยอร์ค หรืออาจเป็นสิ่งที่ดีสำหรับนักลงทุนบางคน ที่มีเงินมากมหาศาลอย่างบัฟเฟตต์ แต่ไม่ใช่สำหรับเขาที่มีพอร์ตเล็กนิดเดียว หรือในตลาดหุ้นไทยที่บริษัทส่วนมากเป็นบริษัทขนาดเล็ก และถ้าเป็นบริษัทใหญ่คุณภาพไม่โดดเด่นเหมือนอย่างในอเมริกา ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร เขาก็ไม่ทำตามสิ่งที่บัฟเฟตต์สอนในหลายเรื่อง
ว่าที่จริงในหลายหลักการที่บัฟเฟตต์พูดถึง เขากลับทำตรงกันข้าม ข้ออ้างของเขา คือ วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด คือวิธีที่ถูกกับ "จริต" หรือสไตล์ หรือความชำนาญของตัวเอง "อย่าไปตีกอล์ฟตามวงของไทเกอร์วู้ด แต่ตีตามวงสวิงเหมาะกับร่างกายหรือความสามารถของตนเอง" เขาอาจพูดแบบนี้ ผมคงไม่ไปวิพากษ์วิจารณ์ว่านั่นเป็นความคิดถูกหรือไม่ แต่อยากจะลองลิสต์ดูรายการที่ VI ไทยจำนวนไม่น้อยคิดและทำที่ดูเหมือนจะไม่ใช่แนวคิดของบัฟเฟตต์เลย

เรื่องแรกคือบัฟเฟตต์บอกว่า การซื้อหุ้นของบริษัทดีเยี่ยมในราคายุติธรรม ดีกว่าการซื้อหุ้นของบริษัทธรรมดาราคาถูกมาก แต่ VI น้อยคนที่จะซื้อหุ้นของบริษัทดีมาก เพราะเขามักคิดว่า "แพง" เสมอ เมื่อเทียบกับอีกบริษัทหนึ่ง ที่กำลังมองอยู่ที่มีราคา "ถูกมาก" หลายคนอาจคิดหรือบอกว่า เขาคิดว่าการซื้อบริษัทที่ดีมาก บางทีอาจให้ผลตอบแทนที่ใช้ได้อยู่ แต่เมื่อเทียบกับบริษัทที่ "ถูกมาก" แล้ว ก็ให้ผลตอบแทนที่น้อยกว่า ขณะที่ความเสี่ยงที่ราคาจะตกลงมามากกว่าเพราะราคา"สูง" สำหรับเขาแล้ว การซื้อบริษัทระดับรองลงมา ที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามากจึงคุ้มค่ากว่า

เรื่องที่สองคือ ระยะเวลาลงทุนในหุ้นแต่ละตัว เรื่องนี้บัฟเฟตต์พูดไว้มากในหลายๆ โอกาส เริ่มตั้งแต่การโค้ดคำพูดของ ฟิลิปส์ ฟิสเชอร์ ที่ว่า ถ้าคุณซื้อหุ้นดีเยี่ยมในราคายุติธรรมได้แล้ว เวลาจะขายหุ้นคือ "ไม่มีวันขาย" หรือถือตลอดไป หรืออีกครั้งหนึ่งบัฟเฟตต์ได้พูดถึงพฤติกรรมการซื้อขายหุ้นของคนในตลาดหลักทรัพย์ว่านานมาแล้ว เซอร์ไอแซ็ค นิวตัน ได้ค้นพบทฤษฎีของการเคลื่อนไหวของวัตถุสามข้อซึ่งเป็นงานของอัจฉริยะ แต่ความเป็นอัจฉริยะของเขานั้นไม่ได้ส่งมาถึงเรื่องการลงทุน เขาขาดทุนอย่างหนักจากเหตุการณ์ฟองสบู่เซ้าธ์ซี ซึ่งทำให้เขาออกมาพูดว่าผมสามารถคำนวณการเคลื่อนไหวของดวงดาวแต่ไม่สามารถวัดความบ้าคลั่งของมนุษย์ถ้าเซอร์ไอแซ็คนิวตันไม่ชอกช้ำจากการสูญเสียครั้งนั้นเกินไป เขาคงสามารถค้นพบกฎข้อที่สี่ของการเคลื่อนไหวนั่นคือ สำหรับนักลงทุนโดยรวมแล้ว ผลตอบแทนจะลดลงเมื่อการเคลื่อนไหวเพิ่มขึ้น’ ”

“เสี่ยปู่” “ชม” หุ้นความงาม “สวยทั้งคู่”



เสี่ยปู่สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล ปันใจบอก วันใดค่า P/E สองหุ้นความงาม คาร์มาร์ท” VS “บิวตี้ คอมมูนิตี้ลงมาเท่ากัน พร้อมซื้อหุ้น BEAUTY

หุ้น คาร์มาร์ท (KAMART) ของ วิวัฒน์ ทีฆคีรีกุลผู้ถือหุ้นใหญ่ 138.11 ล้านหุ้น คิดเป็น 23.02% ณ วันที่ 27 พ.ย.2555 เคยเป็น หุ้นความงาม ตัวเดียวที่ เสี่ยปู่สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เจ้าของพอร์ตหลักพันล้าน โครตรักเขาถือหุ้น KAMART สูงสุดเป็นอันดับ 2 จำนวน 24.570 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.10% ขณะที่ภรรยา วารุณี ชลคดีดำรงกุล ครอบครองหุ้นอยู่ 6.27 ล้านบาท คิดเป็น 1.05% (ตัวเลข ณ วันที่ 27 พ.ย.2555) รองจากหุ้น บ้านร็อคการ์เด้น (BROCK) ที่ถืออยู่ 89.30 ล้านหุ้น คิดเป็น 8.93% (ณ วันที่ 2 มี.ค.2555)

เจ้าของห้อง VIP หมายเลข 129 ประจำโบรกเกอร์เมย์แบงก์ กิมเอ็ง ชั้น 20 อาคารสำนักงาน ดิ ออฟฟิศเศส แอท เซ็นทรัลเวิลด์ เคยถือหุ้น KAMART สูงสุด 5.24% ในปี 2555 ตลอดปีที่ผ่านมามีการซื้อขายทั้งหมด 5 รายการ แบ่งเป็นซื้อ 0.10% วันที่ 25 ก.ค. ก่อนจะขายทำกำไร 0.62% ในวันที่ 30 ก.ค. และกลับมาซื้อ 0.50% ในวันที่ 14 ส.ค.ก่อนจะขาย 0.17% วันที่ 24 ต.ค. และกลับมาช้อนอีกครั้ง 0.25% ในวันที่ 5 พ.ย.2555

แต่เมื่อปลายปี 2555 “เสี่ยปู่ยืดอกยอมรับว่าได้ ปันใจ ไป หลงรักหุ้นความงามตัวใหม่ อย่าง บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) ของ หมอสุวิน ไกรภูเบศผู้มีประวัติชีวิตดั่งเช่นละคร ด้วยเหตุผลที่ว่า บิวตี้ คอมมูนิตี้ มีกำไรสูง เงินสดเยอะ หนี้น้อย และไม่ใช่สินค้าแฟชั่น

ก่อนจะปฎิบัติการณ์สลัดหุ้น BEAUTY จำนวน 500,000 หุ้น ราคา 19 บาท ในวันแรก เสี่ยปู่เคยบอกกับ "กรุงเทพธุรกิจ Biz Week" ว่า เดี๋ยวจะโทรไปนัดแนะ หมอสุวินให้ออกมานั่งดินเนอร์แบบ เอ็กซ์คลูซีฟ นอกสถานที่ เพื่อสอบถามอนาคตของ บิวตี้ คอมมูนิตี้ประเด็นหนึ่งที่ เสี่ยปู่ยอมรับว่าอาจทำให้ราคาหุ้น BEAUTY ไม่ไปต่อ คือ คุณหมอจะต่อยอดธุรกิจอย่างไร เมื่อเปิดร้านแบรนด์ บิวตี้ บุฟเฟ่ต์ และแบรนด์ บิวตี้ คอทเทจ ครบทุกห้างในเมืองไทยแม้จะได้คำตอบเป็นที่น่าพอใจ แต่เสี่ยปู่ก็อดใจไม่ไหว จำต้องขายยกแผงวันแรก โกยกำไรเข้ากระเป๋าเหนาะๆ 5,500,000 บาท !!!!

ผมโทรไปชวนคุณหมอออกมาคุย ณ ร้านอาหารแห่งหนึ่ง (ไม่ยอมบอกชื่อร้าน) แม้จะใช้เวลาสอบถามโน่นนี่เพียง 1 ชั่วโมง แต่ผมก็รับรู้ได้ว่าบริษัทความงามแห่งนี้ มีการบริหารจัดการที่ดี เขามีหน้าร้านเป็นของตัวเอง นั่นแปลว่า เมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น เขาจะเป็นคนที่สบายตัวที่สุดเมื่อเทียบกับคู่แข่งอย่าง คาร์มาร์ทที่ทุกวันนี้ยังต้องอาศัยพื้นที่คนอื่นขายของ” “เสี่ยปู่สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล เล่าให้ กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” ฟังชัดๆอีกครั้ง

เซียนหุ้นรายใหญ่ ยังวิเคราะห์ 2 หุ้นความงามให้ฟังว่า หากมองเนื้อในของหุ้น BEAUTY ถือว่ามี ข้อดี มากกว่าหุ้น KAMART ข้อแรก เขาสามารถนำสินค้า 2 แบรนด์หลัก ไปเปิดขายได้ถึง 2 ร้าน เรียกว่าแยกกลุ่มเป้าหมายชัดเจน ไม่เหมือนเจ้าอื่นที่ต้องนำสินค้ามากองรวมกันแล้วเปิดได้เพียง 1 ร้าน สินค้าติดตลาดแล้วใครก็อ้าแขนรับ เขามีผลิตภัณฑ์หลากหลายราคา ล่าสุดยังมีแผนจะนำสินค้าไปขายในเซเว่น อีเลฟเว่น ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีมาก เขาคงเห็น คาร์มาร์ททำแล้วรุ่ง (หัวเราะ)


เปิดใจ เอ็มดีใหญ่ณ บ้านแสนสิริ” “เสี่ยนิด” “เศรษฐา ทวีสิน” “ราคาหุ้นต่ำ-พื้นฐานเลิศใช้เงินซื้อหุ้น SIRI มากกว่า 100 ล้านบาท ก็ "สู้ไหว

เหตุการณ์น้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 ยังไม่ทันคลี่คลาย ศักราชใหม่ (2555) ยังไม่ทันเปิด “เสี่ยนิดเศรษฐา ทวีสิน เอ็มดีใหญ่ แสนสิริ” (SIRI) ก็ถลกขากางเกง ตะลุยน้ำทยอยหาจังหวะเก็บหุ้น SIRI และใบสำคัญแสดงสิทธิที่จะซื้อหุ้น (SIRI-W1) ไล่มาตั้งแต่ราคา ต่ำสุดของวอร์แรนต์ 1.06 บาท และ 1.82 บาท สำหรับหุ้นสามัญ จุดสูงสุดของวอร์แรนต์ 2.71 บาท และ 3.56 บาท ของหุ้นสามัญ

การสร้างกราฟหุ้น SIRI ตลอดปีมังกร ปฏิเสธไม่ได้ว่า เสี่ยนิดทำเพื่อรอรับข่าวดีที่ มั่นใจว่าต้องเกิดขึ้นภายในสิ้นปี 2555 และการที่ราคาหุ้น SIRI “พุ่งกระฉูดจาก 1.23 บาท (ต่ำสุด) มาอยู่ 3.62 บาท (สูงสุด) ไม่ได้ทำให้เอ็มดีใหญ่

 ร่ำรวยเพียงคนเดียว แต่ยังเผื่อแผ่ถึง แฟนคลับอีกด้วย โดยเฉพาะ เซียนหุ้น VI” “มี่ทิวา ชินธาดาพงศ์ เจ้าของพอร์ตหุ้นระดับ ร้อยล้าน

ผ่านมาแค่ 3 เดือน (ม.ค.-มี.ค.2555) “มี่โกยกำไรจากตลาดหุ้นไปแล้ว 80% ทะลุเป้าหมาย 20-30% หุ้น SIRI และหุ้น SIRI-W1 คือ พระเอกที่ทำให้เขา กระเป๋าตุง

ปี 2555 ผมควักเงินซื้อหุ้น SIRI และ SIRI-W1 ไปแล้วกว่า 100 ล้านบาท” “เศรษฐา ทวีสินพูดด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังกับ กรุงเทพธุรกิจ Biz Week” หลังงานแถลงข่าวแผนธุรกิจปี 2556 ณ โรงแรม เดอะเซนต์ รีจิส สิ้นสุดลง

ถ้าไม่ดีคงไม่ซื้อ บริษัทของเราทำงานอยู่ทุกวันย่อมรู้ดีว่ามีความแข็งแกร่งและมั่นคงมากขนาดไหน การไล่ซื้อหุ้นของผม ถือเป็นการบ่งบอกนักลงทุนทางอ้อมว่า ชายชื่อ เศรษฐาจะนั่งทำงานที่นี่ต่อไป ไม่หนีไปทำอย่างอื่นเหมือนที่ใครเขาลือกัน


เขา ตอบคำถาม จะซื้อหุ้น SIRI ต่อหรือไม่ว่า ทำไมจะไม่ซื้อราคาต่ำ พื้นฐาน ดีขนาดนี้ ช่วงนี้ผมกำลังรอดูจังหวะราคา คิดตามนะในเมื่อรอบปี 2555 SIRI ทำผลการดำเนินงานได้ดี ไม่ทำให้ผมผิดหวัง ตัวเลขการเงินเกือบทุกตัว ทุบสถิติครั้งใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทในปี 2527

วันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2556

กลยุทธ์การลงทุน


แม้ตลาดหุ้นไทยไม่สามารถยืนอยู่เหนือ 1,400 จุด แต่การที่ดัชนีปิด ณ วันทำการสุดท้ายของปีที่ 1,391.93 จุดหรือเพิ่มขึ้นถึง 35.75% ทำให้ตลาดหุ้นไทยเป็นหนึ่งในตลาดหุ้นที่สร้างผลตอบแทนสูงสุดในโลกทีเดียว สำหรับปี 2556 นั้น คุณกิตติรัตน์ ณ ระนองในฐานะหัวหน้าทีมเศรษฐกิจของรัฐบาล ยังกล่าวถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงปี 2556-2558 ว่าจะเกิดภาวะ “Domino Growth” โดยจีดีพีจะเติบโต 5-8.5% ต่อปีผ่านมาตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ การกระตุ้นการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะเกิดขึ้นด้วย
              คำพูดดังกล่าว ไม่น่าจะเป็น “white lies” หรือคำพูดเพื่อทำให้ผู้ฟังรู้สึกดี เพราะแม้จะมีอุปสรรคความท้าทายอยู่บ้าง แต่ยังมีปัจจัยบวกที่จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศเติบโตต่อเนื่องและส่งผลดีต่อการลงทุนในตลาดทุน ผู้เชี่ยวชาญการลงทุนจากหลายสำนัก ต่างออกมาคาดการณ์ถึงแนวโน้มที่ดีต่อเนื่องและกำหนดเป้าหมายดัชนีตลาดของปี 2556 ไว้สูงพอควรเช่นกัน
              การคาดหวังผลตอบแทนดีเช่นปีที่ผ่านมา เป็นการตั้งความหวังที่สูงเกินไปเพราะราคาหุ้นได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมาก ในทางตรงข้าม นักลงทุนต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้น วิธีที่ควรพิจารณานำมาใช้คือ การกำหนดกลยุทธ์การลงทุนและการปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพราะการมีวินัยและลงทุนตามกรอบแนวคิดที่ไตร่ตรองอย่างรอบคอบ จะช่วยให้กระบวนการตัดสินใจดีขึ้นและไม่ไขว้เขวจากภาวะอารมณ์และความผันผวนของตลาดหุ้น ลองมาดูตัวอย่างกลยุทธ์การลงทุนอย่างง่ายๆ ดังนี้
            หนึ่ง กลุ่มที่จะต้องเผชิญความท้าทาย เช่น หุ้นกลุ่มสิ่งทอ กลุ่มแฟชั่น กลุ่มเครื่องหนัง เนื่องจากโอกาสเติบโตทางธุรกิจมีค่อนข้างจำกัด ศักยภาพการแข่งขันเริ่มลดลง ได้รับผลกระทบจากค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศอย่างมีนัยสำคัญ อำนาจในการต่อรองต่ำทั้งการขึ้นราคาสินค้าและการลดต้นทุนการผลิต ไม่สามารถสร้างความแตกต่างและสร้างความภักดีต่อสินค้าและบริการส่งผลให้สูญเสียส่วนแบ่งการตลาดอย่างต่อเนื่อง
         หุ้นกลุ่มนี้ แม้รายได้อาจจะเติบโต แต่ผลกำไรจะต้องได้รับผลกระทบทางลบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นักลงทุนไม่ควรคาดหวังกำไรจากส่วนต่างของราคามากนัก แต่น่าจะได้รับเงินปันผลในอัตราที่ใกล้เคียงหรือต่ำกว่าเดิมเล็กน้อย
               สอง กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเติบโตทางเศรษฐกิจ ทั้งจากการบริโภคและการลงทุนของภาครัฐและเอกชน เช่น หุ้นรับเหมาก่อสร้าง ที่ได้ประโยชน์จากโครงการเมกกะโปรเจ็ค สาธารณูปโภค ระบบขนส่งมวลชน นี่คือโอกาสเติบโตของรายได้อย่างก้าวกระโดด อย่างไรก็ตาม ผู้ชนะการประมูลแต่ละโครงการนั้นจะต้องเสนอราคาต่ำที่สุด ต้องบริหารต้นทุนทั้งราคาวัตถุดิบ ค่าขนส่ง ค่าพลังงาน ค่าแรงและการขาดแคลน ตลอดอายุสัญญาโครงการ หากต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าที่ประมาณการไว้ก่อนหน้าจะส่งผลกระทบต่อผลกำไรและราคาหุ้นในที่สุด