วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2555

ทิ้งรายได้เดือนละ 2แสนบาทสู่เส้นทาง 'วีไอ'ภาสุชา อุตรวณิช




มีเงินสดไหลเข้าบริษัทเดือนละกว่า 200,000 บาท แต่ 'ภาสุชา อุตรวณิช' ก็เลือกปิดธุรกิจขนส่งก้าวสู่เส้นทาง 'วีไอ' รับเหมาดูแลพอร์ตของคนทั้งบ้าน

หนึ่งในเซียนหุ้นรุ่นใหม่ ภาภาสุชา อุตรวณิช คุณแม่ยังสาววัย 34 ปี อดีตเจ้าของธุรกิจขนส่ง มีเงินสดไหลเข้าบริษัทเดือนละกว่า 200,000 บาท แต่ภา เลือกที่จะปิดธุรกิจส่วนตัว เพื่อออกมาลงทุนในตลาดหุ้นแนว Value Investor (วีไอ) ภายใต้พอร์ตของสามี ก่อนจะมาเปิดพอร์ตเป็นของตัวเอง และเธอยังรับหน้าที่ดูแลหุ้นค้าปลีกจำนวน 100 หุ้น ที่ลูกสาววัย 7 ขวบ ตัดสินใจทุบกระปุกออมสินนำเงินเก็บ 1,000 บาท บวกกับเงินเติมให้ของพ่อแม่มาลงทุน จนสามารถสร้างผลตอบแทน 100% ภายในระยะ 1 ปี ได้สำเร็จ

ภา ยึดแนวทางการลงทุนแบบอนุรักษ์นิยม หวังผลตอบแทนเฉลี่ยปีละ 15% ที่ผ่านมาพอร์ตการลงทุนเติบโตอย่างน่าพอใจ ขณะเดียวกัน เธอพยายามปลูกฝังลูกสาวให้รักการอ่านหนังสือ และออมเงิน ด้วยการหยอดกระปุกวันละ 1 บาท หรือมากกว่านั้น ทุกวันสาวน้อยของเธอจะเหลือเงินค่าขนมกลับบ้านวันละไม่ต่ำกว่า 10 บาท จากเงินค่าขนมวันละ 40 บาท ภาสอนลูกสาววัย 7 ขวบว่า หากเติมเงินลงไปในพอร์ตแล้วเลือกหุ้นดีๆ หนูจะสามารถซื้อตั๋วเครื่องบินไปญี่ปุ่นได้ทันที
"โตขึ้นหนูไม่จำเป็นต้องทำอาชีพนักลงทุนเหมือนแม่ แต่ขอให้รู้จักลงทุน เพราะการออมจะทำให้มีเงินเลี้ยงตัวเองได้ตลอด และหนูจะพบกับคำว่า..อิสระทางการเงิน"

เธอคัดหุ้นมาให้ลูกเลือกพร้อมเหตุผลและลูกสาวก็ตัดสินใจเลือกหุ้น "ค้าปลีก" ด้วยตัวเอง โดยให้เหตุผลว่าห้างสรรพสินค้ามีคนเข้าออกทุกวัน มากพอๆกับโรงพยาบาล ไม่เพียงออมเงินไว้ในตลาดหุ้นเท่านั้น เธอยังมีอีกกระปุกเก็บเงินไว้ซื้อสิ่งของที่อยากได้ โดยมีเหตุผลว่าการลงทุนต้องฝึกฝนกันตั้งแต่เด็กๆ เปรียบเสมือนภาษาอังกฤษที่ต้องบ่มกันตั้งแต่ยังเล็กโตขึ้นถึงจะสบาย

เจ้าของนามแฝง "KIRI" ในเวบไซต์ไทยวีไอ ย้อนประวัติส่วนตัวให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า เรียนจบคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เกียรตินิยมอันดับ 2 เมื่อเรียนจบก็ไปฝึกงานเกี่ยวกับการแปลใน บริษัท สยามมิชลิน จากนั้นก็ออกมาเรียนต่อปริญญาโทคณะอักษรศาสตร์ ด้านการแปลวรรณกรรม ระหว่างนั้นก็ไปทำงานในบริษัท อัลคาเทล ผู้รับเหมาติดตั้งระบบเทเลคอม และจำหน่ายโทรศัพท์มือถือ ในตำแหน่งโอเปอร์เรเตอร์ รีเซฟชั่น และแอดมิน ทำงานได้ 1 ปี ก็ตัดสินใจลาออก คู่หมั้นที่เจอกันตอนทำงานในสยามมิชลิน ต้องบินไปทำงานที่ประเทศฝรั่งเศสปีกว่า ภาจึงตัดสินใจแต่งงานตอนอายุ 24 ปี แล้วบินไปด้วยกัน
"ตอนนั้นเศร้ามากที่เรียนไม่จบปริญญาโท ทั้งๆ ที่อีกไม่กี่เดือนก็จะจบแล้ว ช่วงที่อยู่ฝรั่งเศส ด้วยสถานะของวีซ่าไม่สามารถทำงานได้ แต่ไม่อยากอยู่เฉยๆ จึงไปลงเรียนหลักสูตรภาษาฝรั่งเศส สำหรับนักศึกษาต่างประเทศ 4-5 เดือน และกะว่าเมื่อเรียนจบจะไปท่องยุโรปก่อนกลับเมืองไทย สุดท้ายผ่านมา 11 เดือน สามีไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในเมืองนอกจึงขอเร่งคอร์สการทำงานเพื่อกลับเมืองไทยเร็วขึ้น"

ความเข้มแข็งของประเทศ



เมื่อถึงเวลาที่นักลงทุนจะต้องออกไปลงทุนในต่างประเทศเช่นในปัจจุบัน สิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือ ประเทศไหนจะแข็งแกร่ง รุ่งเรืองเฟื่องฟู

ประเทศไหนอ่อนแอและจะลำบากไปอีกนาน เพราะถ้าเราไม่รู้ เราก็อาจจะเข้าไปลงทุนผิดประเทศซึ่งอาจจะส่งผลให้ผลตอบแทนการลงทุนย่ำแย่ จริงอยู่ ในฐานะที่เป็น VI เราไม่ได้ลงทุนในประเทศ เราลงทุนในตัวหุ้น แต่ความเป็นจริงก็คือ ในยามที่ประเทศกำลังลำบากหรืออยู่ในช่วงตกต่ำนั้น ก็ยากที่บริษัทจะสามารถสร้างผลงานโดดเด่นมาก ๆ เมื่อเทียบกับอีกบริษัทหนึ่งที่โดดเด่นเช่นเดียวกันแต่อยู่ในประเทศที่กำลังเฟื่องฟู ด้วยเหตุผลนี้ การวิเคราะห์ประเทศจึงเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เราต้องรู้ หรือกำลังจำเป็นต้องรู้ อาจจะเนื่องจากเราเห็นว่า Value ของหุ้นในประเทศไทยนั้นเหลือน้อยลงเมื่อเทียบกับหุ้นในต่างประเทศ หรือไม่ก็อาจจะเพราะว่าเราอยากกระจายความเสี่ยงการลงทุนโดยการแบ่งเงินบางส่วนไปลงทุนในต่างประเทศบ้าง

การวิเคราะห์ความเข้มแข็งของประเทศนั้น ไม่ใช่การคาดการณ์ว่าปีนี้หรือปีหน้าประเทศนั้นจะเติบโตกี่เปอร์เซ็นต์ แต่เป็นการวิเคราะห์กำลังหรือพลังอำนาจโดยเฉพาะทางเศรษฐกิจของประเทศในการแข่งขันกับประเทศอื่น นี่เป็นเรื่องของโครงสร้างระยะยาวที่ไม่ใช่สิ่งที่จะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงได้ง่าย และพลังอำนาจนี้จะเป็นตัวที่กำหนดว่าประเทศจะรุ่งเรืองหรือตกต่ำไปอีกนานพอสมควรหรือตลอดไป

พลังอำนาจของประเทศนั้น คิดว่าน่าจะมาจากปัจจัยหลัก ๆ 4-5 เรื่องก็คือ หนึ่ง คุณภาพของคนในประเทศ ว่ามีความรู้หรือมีการศึกษาดีแค่ไหน IQ ของคนเป็นอย่างไร สอง คือจำนวนของคนว่ามีมากน้อยแค่ไหน สาม คือกฎเกณฑ์หรือกฎหมายว่าเอื้ออำนวยต่อการจูงใจให้คนทำงาน ทำธุรกิจ และกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่าง ๆ มากน้อยแค่ไหน สี่ คือทรัพยากรที่ประเทศมีอยู่ รวมถึงพลังงาน แร่ธาตุ และแน่นอน พื้นแผ่นดินที่ใช้ประโยชน์โดยเฉพาะในทางเกษตรกรรมได้ ห้า คือวัฒนธรรมและความสามัคคี เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวของคนในชาติว่า มีความเข้มแข็งมากน้อยเพียงใด ซึ่งรวมไปถึงประวัติศาสตร์ที่เป็นมาด้วย และคงไม่ต้องบอกว่า ศาสนาและค่านิยม รวมถึงจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการหรือการ เสี่ยงภัยก็อยู่ในกลุ่มนี้ด้วย

จากแนวทางการวิเคราะห์ข้างต้น ลองมาดูกันว่าระหว่างสหรัฐกับกลุ่มสหภาพยุโรป ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจและกำลังอำนาจใกล้เคียงกัน ใครแข็งแกร่งกว่าและน่าจะมีอนาคตรุ่งเรืองกว่า ซึ่งคำตอบคืออเมริกา ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
เรื่องแรกคือ กลุ่มยูโรโซนนั้น มีรัฐบาลที่กระจัดกระจายนับเป็นสิบๆประเทศและมีภาษาใช้กันหลายภาษา ขณะที่อเมริกานั้นเป็นหนึ่งเดียวและมีภาษาเดียว ดังนั้น นโยบายและการบริหารงานของอเมริกานั้นมีเอกภาพสูงกว่ามาก ทำให้การแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจของอเมริกาทำได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงกว่า และนี่อาจจะเป็นเหตุผลว่าทำไมหลังจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ที่เริ่มในอเมริกา อเมริกากลับฟื้นตัวได้ดีกว่ายุโรปมาก

มนุษย์หุ้น 2.0 : นักเตะล่าฝันกับเฮดจ์ฟันด์เงินล้าน

วัยเด็ก การ์ตูนเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจินตนาการของเราได้เป็นอย่างดี สมัยนั้นเด็กผู้ชายส่วนใหญ่ต้องรู้จัก กัปตันซึบาสะ การ์ตูนฟุตบอลสุดฮิต แฟนตาซียอดฮิตผสมจินตนาการ จำได้ว่าตอนเรียนประถม ยามเช้า ยามเที่ยง ยามเย็นต้องชวนเพื่อนพากันไปเล่นบอลโกหนูด้วยลูกบอลพลาสติก วิ่งไล่เตะ ไล่หวดกันแบบบอลวัด โดยสมมติกันเป็นตัวละครในการ์ตูนซึบาสะ ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งความสนุกกันไป เมื่อโตขึ้นมาหน่อยระดับมัธยม การ์ตูนฟุตบอล อย่าง “Whistle! ไอ้หนูแข้งทอง”, “ยิงประตูสู่ฝัน”, “viva calcio” ก็เป็นอีกหนึ่งการ์ตูนที่เน้นไปทางการวิ่งตามฝัน การพาตัวเองจากนักเตะเยาวชนโนเนมไปสู่การเล่นระดับอาชีพ การไปเป็นนักเตะดาวรุ่ง การร่วมมือกันพาทีมไปสู่เป้าหมายชัยชนะ
       
       การ์ตูนสามเรื่องนี้จะให้แรงบันดาลใจ และจินตนาการที่หล่อเลี้ยงความฝัน ความอยากเป็นดาวรุ่งในการเล่นฟุตบอลของเด็กๆ ได้ดี แน่นอนว่าคงไม่ใช่ทุกคนที่อยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ แต่เชื่อเถอะครับว่าเสี้ยวหนึ่งของความคิดในวัยขาสั้นที่วิ่งไล่เตะฟุตบอลในสนาม เด็กผู้ชายทุกคนอยากเล่นบอลเหนือชั้นกันทั้งนั้น
     
       จากเด็กธรรมดาที่ชอบเล่นฟุตบอล ทั้งโลกคงมีไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่เลือกเส้นทางนี้เป็นงานเลี้ยงชีพ และคงมีไม่มากเท่าไหร่ที่ได้ประสบความสำเร็จเป็นนักฟุตบอลอาชีพ มีชื่อเสียง เป็นดาวเด่น ติดทีมชาติ มีค่าตัวหลายล้านเหรียญ มีค่าเหนื่อยต่อสัปดาห์มหาศาล การไปถึงจุดนั้นได้นั้นยากแสนเข็ญ ด้วยข้อจำกัดเรื่องของอายุที่ต้องเร่งประสบความสำเร็จก่อน 25, ฝีเท้าที่ต้องโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งในตำแหน่งเดียวกัน
      

วันอังคารที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2555

'มนสิช จันทนปุ่ม' 'เทรดเดอร์' ผู้เอาชนะตลาดด้วยระบบ



เปิดมุมมองการลงทุนโดยใช้ระบบเทรด'มนสิช จันทนปุ่ม' นักเก็งกำไรสไตล์ Trend Following ผู้ละทิ้งอีโก้ อารมณ์ พิชิตกำไรในตลาดหุ้น

"มด" มนสิช จันทนปุ่ม เซียนหุ้นหนุ่มมีความเชื่อว่าศาสตร์ของการเก็งกำไรอยู่บนพื้นฐานของ "เหตุและผล" กราฟไม่ได้หลอก และเจ้ามือไม่ใช่ปัญหาของนักเก็งกำไร รากเหง้าของผลกำไรจากระบบการลงทุนที่ยั่งยืน เกิดจากกลไกพื้นฐานของตลาดซึ่งเป็นสิ่งที่เราทุกคนไม่สามารถฝืนหรือหลีกเลี่ยงได้ คำถามสำคัญของนักเก็งกำไร ก็คือ เราจะสร้างผลตอบแทนอย่างยั่งยืนได้อย่างไร..?

มนสิชเป็นอดีตนักเรียนวิชาดนตรี ผู้หลงใหลการลงทุนโดยการใช้ระบบเทรดทางสถิติ (System Trader) เขารวบรวมแนวความรู้การใช้เครื่องมือทางเทคนิคไว้ในเว็บไซต์ "แมงเม่าคลับดอทคอม" กรุงเทพธุรกิจ BizWeek นัดพูดคุยกับเขาเรื่อง "เทคนิคการเทรดขั้นสูง" แต่อธิบายให้เข้าใจง่ายในแบบนักดนตรี
ส่วนตัวผมลงทุนโดยใช้ระบบเทรดเพื่อตัดอารมณ์ความรู้สึก และใช้เทคนิคคัลแนว Trend Following” เซียนหุ้นหนุ่มเปิดประเด็น..สมัยเด็กๆ เขาก็เริ่มสนใจการลงทุนแล้ว พอจบ ม.6 ก็เริ่มเล่นหุ้นทันที แต่สนใจทางด้านดนตรีด้วยจึงไปศึกษาต่อทางด้านดุริยางคศิลป์ มนสิชก็เหมือนเด็กทั่วไปที่อยากรวยง่ายๆ แต่พอลงสนามจริงๆ กลับไม่ง่ายอย่างที่คิด

เขากล่าวว่า ช่วงที่เริ่มต้นลงทุนใหม่ๆ ใช้เงินไม่เยอะขายของได้เงินมา "ไม่ถึงแสนบาท" ก็นำมาลงทุนแต่ที่บ้านไม่ค่อยสนับสนุนวิธีคิด ค่อนข้างจะต่อต้านด้วย ในเมื่อหาผู้ให้คำปรึกษาไม่ได้ก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง เล่นแล้วก็ไม่ได้เรื่องลุ่มๆดอนๆ ลองผิดลองถูกอยู่ 4-5 ปีถึงจะเริ่มได้กำไรสม่ำเสมอ

เจ้าตัวบอกว่าไม่จริงเสมอไป คนเล่นดนตรีจะไม่ชอบตัวเลข นักดนตรีหลายคนก็สามารถคิดเลขได้ดี และมีบทวิจัยยืนยันด้วยว่าการเล่นดนตรีกับการคำนวนสามารถไปด้วยกันได้ หัวสมองก็จะได้ทั้งความสุนทรีย์และความมีเหตุมีผล ถือเป็นการสร้างสมองสองด้านให้สมดุล

มนสิช บอกว่า ช่วงแรกที่ลงทุนเมื่อ 9 ปีที่แล้ว ก็ได้ศึกษาวิธีการลงทุนของผู้ประสบความสำเร็จอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ ต่อมาก็เริ่มศึกษาการลงทุนโดยใช้เทคนิคและพบว่าแนวทางนี้ "มันใช่" แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จอยู่ดี มีผิดพลาดอยู่เรื่อยๆ ตอนหลังถึงเริ่มจะเข้าใจว่าผิดที่ แก่น” (หลักคิด) ของมันเลย สมัยก่อนพยายามที่จะพยากรณ์อนาคต นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ดูกราฟวันละ 7-8 ชั่วโมง พยายามหาคำตอบแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายจึงหาคำตอบได้ว่าไม่สามารถคาดการณ์อนาคตได้แม่นยำทั้งหมด และไม่มีระบบไหนที่ดีที่สุด

ช่วงแรกมีความเข้าใจว่าถ้าเราเทรดพลาดแปลว่าเราทำอะไรผิดสักอย่าง เราเลยยิ่งค้นหาไปเรื่อยๆว่าต้องใช้สัญญาณทางเทคนิคแบบไหนถึงจะถูก คำตอบที่แท้จริงคือเทคนิคมันบอกเพียงแค่ "ความน่าจะเป็น" ไม่ถูก 100% ความน่าจะเป็นของการใช้เทคนิคมันถูกทดสอบจากากรเทรดมาแล้วเป็นพันครั้ง แล้วกำหนดเป็นสูตรออกมาแต่เราจะไม่มีทางรู้ได้ว่าการเทรดของเราครั้งไหนจะถูก"

งานเลี้ยงที่กำลังร้อนแรง



เวลาที่ไปงานเลี้ยงหรือปาร์ตี้เพื่อความบันเทิงนั้น  ช่วงหัวค่ำที่คนเริ่มทยอยมาบรรยากาศก็มักจะยังไม่รื่นเริงนัก  ดนตรีก็มักจะเล่นเพลงเบา ๆ  สบาย ๆ   เมื่อคนเริ่มมากขึ้น  บรรยากาศก็จะคึกคักขึ้น  คนเริ่มจิบเหล้าเบียร์และคุยกันสนุกสนาน  ดนตรีเริ่มดังขึ้น  เพลงเริ่มเร็วขึ้น  หลายคนเริ่ม  “เปิดฟลอร์”  ออกไปเต้นรำ  ซักระยะหนึ่งแอลกอฮอก็เริ่มออกฤทธิ์   คนออกไป  “ดิ้น”  กันเต็มพื้นที่  ดนตรีเล่นเพลงที่เร้าใจและดังจนคุยกันไม่รู้เรื่อง  งานเลี้ยงกำลังเข้าสู่ช่วงเวลาที่  “สนุกและร้อนแรงที่สุด”  มันอาจจะเป็นเวลา สี่ทุ่มครึ่ง  ห้าทุ่ม  หรืออาจจะใกล้เที่ยงคืนที่เป็นกำหนดเวลา  “งานเลิก”  ไม่มีใครรู้หรือสนใจที่จะรู้เพราะในเวลาที่ทุกคนกำลังสนุกสนานนั้น  พวกเขามักจะ  “ลืมดูเวลา”  ไม่มีใครอยากจะออกจากงานก่อนที่มันจะเลิกแม้จะมีกฎว่า  คนที่ออกหลังสุดต้อง  “จ่ายสตางค์

          นั่นเป็นคำบรรยายแบบเปรียบเปรยกับบรรยากาศของตลาดหุ้นในขณะนี้ที่ดัชนีตลาดหุ้นปรับพุ่งขึ้นเรื่อย ๆ   นับจากต้นปีที่ 1025 จุดเป็น  1324 จุดในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2555 หรือเป็นการเพิ่มขึ้นถึง 29% ไม่นับรวมปันผลอีก 3-4%  ซึ่งทำให้นักลงทุนที่มีหุ้นในตลาดมีกำไรเป็นกอบเป็นกำ   จริงอยู่  การที่หุ้นปรับขึ้นมามาก ๆ  ในเวลาอันรวดเร็วนั้น  ไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติ  หลายปีที่ผ่านมาหุ้นก็ปรับตัวสูงแบบนี้มาหลายครั้ง   แต่การปรับตัวในรอบก่อน ๆ  นั้นก็มักจะเป็นการปรับตัวขึ้นหลังจากที่ตลาดหุ้นตกลงมาอย่างหนัก  ดังนั้น  คนที่ถือหุ้นอยู่ตลอดเวลาก็อาจจะไม่ได้กำไรนัก   อาจจะเพียงแต่ได้ทุนคืนมา    แต่การปรับขึ้นของหุ้นในรอบนี้เป็นการขึ้นหลังจากที่หุ้นได้ขึ้นมาสูงแล้ว  ดัชนีที่ 1324 นี้ถือเป็นดัชนีที่สูงที่สุดในรอบ 16 ปี  ดังนั้น  สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นที่เข้ามาลงทุนในตลาดเพียงไม่กี่ปีหรือไม่เกิน 10 ปี   นี่คือเวลาแห่งความรื่นเริงอย่างแน่นอน  ประเด็นก็คือ  ความสนุกสนานจากการลงทุนในช่วงนี้กำลังใกล้จบหรือไม่  ดัชนีหุ้นในขณะนี้สูงเกินไปหรือไม่  และโอกาสที่หุ้นจะปรับตัวลงแรงและทำให้คนที่เข้ามาซื้อหุ้นในช่วงนี้ขาดทุนหรือไม่  มาลองคุยกัน

           เริ่มจากการดูว่าหุ้นในขณะนี้ร้อนแรงเกินไปหรือไม่ในทางจิตวิทยา”  หรือการดูบรรยากาศและความรู้สึกของผู้คนที่อยู่ในตลาด  คำตอบของผมก็คือ  ค่อนข้างร้อนแรงหรืออาจจะพูดว่าร้อนแรงมากก็ได้  เพียงแต่  “คนทั่วไป”  เช่น  ช่างตัดผมหรือแท็กซี่ยังไม่ได้พูดถึงตลาดหุ้น  แต่นี่ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นว่าจะต้องเกิด  เนื่องจากประเทศไทยนั้นยังไม่รวยพอที่คนทั่วไปจะสนใจตลาดหุ้นในทุกสถานการณ์   การที่ผมพูดว่าตลาดหุ้นร้อนแรงมากนั้น   ผมสังเกตจากจำนวนคนที่เข้าฟังการสัมมนาการลงทุนที่จัดกันอย่างแพร่หลายนั้น  ในช่วงหลัง ๆ  นี้มีจำนวนเพิ่มขึ้นมากจนเก้าอี้มักจะไม่พอและคนยินดีที่จะยืนฟังกันเป็นชั่วโมง ๆ  ที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งก็คือ  เราสามารถจัด  “ทอล์คโชว์เกี่ยวกับการลงทุนที่เก็บเงินคนเข้าฟังได้แล้วจากที่ต้องหาคนฟังแม้จะไม่ต้องเสียเงินอย่างในช่วงหุ้นซบเซาสมัยก่อน

           ประเด็นที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ  ในช่วงหลังนี้มีนักลงทุนที่ยังมีอายุน้อย  อายุตั้งแต่ 20 ถึง 30 ปีต้น ๆ  ที่เป็นคน  Gen Y หรือเป็นคนรุ่นใหม่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน  คนกลุ่มนี้สนใจลงทุนในตลาดหุ้นเพราะเห็นว่าเป็นวิธีที่จะ  “รวยเร็ว”  โดยไม่ต้องทำงานหนักซึ่งก็เป็นเทรนด์”  ของคนในรุ่นใหม่นี้ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีไอทีที่พัฒนาแล้วและความมั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นมากของพ่อแม่  พวกเขาเห็นว่าตลาดหุ้นเป็นทางเลือกที่ดีที่เขาจะบรรลุความฝันนั้นได้   ว่าที่จริง  หลายคนที่พ่อแม่มีฐานะดีนั้น  ได้เลือกเส้นทางที่ไม่ทำงานประจำที่ได้เงินเดือนน้อยและไม่น่าสนใจเลย   แต่ลงทุนในตลาดหุ้นเป็นอาชีพ  ผมเองก็ไม่รู้ว่าพวกเขากำลังเดินตามรอย  “วอเร็น บัฟเฟตต์”  หรือเปล่าที่ไม่ทำงานประจำตั้งแต่เรียนจบ   อย่างไรก็ตาม  การที่ไม่ทำงานหรือออกจากงานมาลงทุนอย่างเดียวนั้น  ก็เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งว่าตลาดหุ้นนั้นร้อนแรงมาก  เพราะพวกเขาเชื่อว่าผลตอบแทนการลงทุนในตลาดนั้นสูงมากจนทำให้รายได้จากการทำงานกินเงินเดือนไม่มีความหมาย

VI Gen-X



ในการที่เราจะเข้าใจ Mega Trend หรือแนวโน้มใหญ่ต่าง ๆ  ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม  และการเมืองนั้น   สิ่งที่เราจะต้องรู้ก็คือพฤติกรรมของคนในโลกและในประเทศซึ่งก็มักจะสอดคล้องใกล้เคียงกันเนื่องจากโลกเรานั้นเป็น  Globalization   ในการศึกษาพฤติกรรมของคนนั้น  เราพบว่าคนในแต่ละยุค  หรือพูดให้ชัดก็คือคนที่เกิดในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นมักจะมีแนวคิดหรือพฤติกรรมต่างกัน  ซึ่งนี่ก็เกิดขึ้นเนื่องจากเหตุการณ์หรือพัฒนาการสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไป  ตัวอย่างเช่น  เกิดสงครามโลก  หรือเกิดระบบอินเตอร์เน็ตที่ประชาชนทุกคนสามารถใช้ได้เป็นต้น

ในทางวิชาการได้มีการจัดคนที่เกิดในช่วงปีต่าง ๆ  ออกเป็นกลุ่มที่มีคำเรียกแทนลักษณะสำคัญของคนในยุคสมัยหรือรุ่นนั้น  โดยที่ผมจะเริ่มจากยุคที่แก่ที่สุดที่ยังมีจำนวนและบทบาทอยู่ในปัจจุบันนั่นก็คือ  ยุค Baby Boom หรือยุคลูกมาก”  นี่คือคนที่เกิดตั้งแต่ปี 1945 ซึ่งเป็นยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สองที่มีเด็กเกิดใหม่มากมาย  การที่ครอบครัวจะมีลูก 5-6 คน เป็นเรื่องธรรมดา  บางบ้านมีเป็นสิบคน   ยุคเบบี้บูม”  นี้สิ้นสุดลงในปี 1964 หรือกินเวลาประมาณ 19 ปี  และถ้านับถึงวันนี้ก็คือกลุ่มคนที่มีอายุระหว่าง  48 ถึง 67 ปี ซึ่งผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น   และดังนั้นผมก็จะมีไอเดียหรือแนวคิดหรือมุมมองต่อโลกแบบหนึ่งของคนที่อยู่ในยุคนี้  นอกจากนั้น  ผมก็พอจะเข้าใจว่าคนในรุ่นนี้มักจะคิดอย่างไรต่อเรื่องต่าง ๆ  ในชีวิตและในสังคม

          พวกเบบี้บูมหรือถ้าจะพูดในวันนี้ว่าเป็นพวก  “คนแก่”  นั้น  มักจะเป็นคนที่  “อนุรักษ์นิยม”  เป็นคนที่ชอบประเพณีที่ดีงาม  ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและ  “ศีลธรรมอันดี”  พวกเขาจะชื่นชอบและเคารพเชื่อถืออะไรก็ตามที่เป็น  “สถาบัน”  ของประเทศหรือของสังคมหรือชุมชนที่พวกเขาอาศัยอยู่  คนที่ไม่ยึดถือประเพณี  ความเป็นระเบียบ  หรือสิ่งต่าง ๆ  ที่กล่าวถึงนั้นจะถูกมองว่าเป็น  “คนไม่ดี”  และจะต้องถูกลงโทษทั้งทางด้านของสังคมและกฎหมายถ้ามี  แม้แต่ในเรื่องของความรู้สึกส่วนตัวที่เป็น

เรื่อง  “ธรรมชาติ”  เช่นเรื่องของเซ็กส์ก็ถูกควบคุมโดยสังคม  คนที่ฝ่าฝืนมักถูกสังคมต่อต้านอย่างรุนแรง  ผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์กับชายโดยที่ยังไม่ได้แต่งงานกลายเป็นหญิงที่มีมลทินในบางสังคมซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย  นี่คือคุณลักษณะคร่าว ๆ  ของเบบี้บูมเมอร์ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่มีจำนวนมากหรือน่าจะมากที่สุดในบรรดากลุ่มทั้งหลายที่ผมจะกล่าวต่อไป  ประเด็นก็คือ  บทบาทหรืออิทธิพลของพวกเขานั้นยังสูงยิ่ง  ไม่ว่าจะทางเศรษฐกิจ  สังคม  และการเมือง  อย่างไรก็ตาม  พวกเขาอาจจะผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว  นับวันก็จะถดถอยลงไปเรื่อย ๆ  ว่าที่จริง  นายกรัฐมนตรีของไทย 2 คนสุดท้ายของเรานั้น  ก็ไม่ได้เป็นพวกเบบี้บูมเมอร์แล้ว

วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

3 เจ้าสัวแสนล้าน “มรรควิธี” สู่ ตระกูลมหาเศรษฐีโลก


 3 ตระกูลเจ้าสัวแสนล้าน มรรควิธีบริหารธุรกิจของพวกเขากลายเป็นกรณีศึกษาที่ทั่วโลกสนใจ ไม่ต่างจากหลายบริษัทข้ามชาติ ที่มาจากธุรกิจครอบครัว

ในช่วงที่ผ่านมา เราจะเห็นความเคลื่อนไหวคึกคักของ 3 ตระกูลมหาเศรษฐีเจียรวนนท์ - สิริวัฒนภักดี และอยู่วิทยา ผลัดกันเป็นข่าวดังอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับการแผ่อาณาจักรธุรกิจแสนล้านของพวกเขา เลยขอบเขตประเทศไทย สู่ตลาดในภูมิภาคเอเซียและโลก

เพราะรู้ว่าคู่แข่งทางการค้าจะมีมากขึ้นเท่าๆกับขนาดของโอกาสที่เพิ่มมากขึ้น หลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558 กลายเป็นความได้เปรียบสำหรับผู้ที่มีความพร้อมจะต่อกรกับยักษ์ข้ามชาติ อย่างน้อยก็ 3 ตระกูลนี้ ที่ถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกตามการจัดอันดับของนิตยสารฟอร์บส์ นิตยสารธุรกิจชั้นนำของโลก

เลือดนักสู้ บวกทุนที่พกไปเต็มกระเป๋า ขอสู้ยิบตา !

อย่างการปะทะกับ ไฮเนเก้นผู้ผลิตเบียร์อันดับ 3 ของโลก เพื่อช่วงชิงการเป็นผู้นำตลาดเบียร์ในเอเซีย ของตระกูลสิริวัฒนภักดี เป็นอาทิ
ทว่า ไม่เพียงความพร้อมทางการเงิน พวกเขายังต้องถึงพร้อมด้วย "ประสบการณ์" การต่อสู้ มรรควิธีในการรบอย่างไรให้ชนะ ของ 3 ตระกูลเจ้าสัวแสนล้าน ถูกรวบรวมไว้ในหนังสือ ตระกูลมหาเศรษฐีโลกที่เขียนโดย อาจารย์ธนวัฒน์ ทรัพย์ไพบูลย์ นักเขียนสารคดีแนววิเคราะห์เจาะลึก ชีวิต ผลงาน แนวความคิด กลยุทธ์ และวิสัยทัศน์ รวมทั้งปรัชญาการบริหารธุรกิจของนักธุรกิจชั้นนำ โดยเฉพาะตระกูลเจ้าสัว ซึ่งจัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ขอเรียบเรียงบางช่วงบางตอนของหนังสือเล่มนี้ เพื่อถ่ายทอดกลเม็ดเคล็บลับในการสร้างฐานะให้ร่ำรวย เป็นมหาเศรษฐีของทั้ง 3 ตระกูล ซึ่งผ่านการเคี่ยวกรำบนเส้นทางชีวิตที่คดเคี้ยวยากลำบาก พบพานกับปัญหามากมายแต่เพราะ ความสามารถทำให้พลิกวิกฤติเป็นโอกาส นำพาธุรกิจครอบครัว (กงสี) ให้เติบใหญ่ไพศาลทั้งในและต่างประเทศ ในหลากหลายกิจการในเวทีการค้าโลก ขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจเคียบเคียง วอลมาร์ท ฟอร์ด โตโยต้า พานาโซนิค ซัมซุง ซึ่งล้วนเริ่มต้นพัฒนามาจากธุรกิจครอบครัวทั้งสิ้น

นอกจากนี้ ยังสะท้อนให้เห็นการนำระบบการบริหารจัดการที่ทันสมัย ที่ผสมผสานการบริหารทั้งตะวันตกและตะวันออกมาใช้ดำเนินธุรกิจ อีกทั้งยังสะท้อนให้เห็นถึง พลวัตแห่งการพัฒนาทางธุรกิจการค้าของชาวไทยเชื้อสายจีน ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้ระบอบทุนนิยมแห่งยุคโลกาภิวัตน์

ลงทุนหุ้นปันผล 'สุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข'



ผมจะไม่ซื้อหุ้นสุ่มสี่สุ่มห้าผมมองว่า'จังหวะเข้า'สำคัญกว่า 'จังหวะออก' เสมอ! เราต้องดูว่าราคาที่จะเข้าเกินราคาพื้นฐานของหุ้นตัวนั้นหรือยัง
สวัสดีครับ! หุ้น VGI เปิดซื้อขายวันแรก 60 บาทเลยเหรอครับ ช่วงนี้หุ้นไอพีโอร้อนแรงหน้าดู” "ฮง" สุรเชษฐ์ กมลมงคลสุข นักธุรกิจวัย 40 ปี กรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.เอ็ม.ซี อุตสาหกรรม (TMC) กล่าวทักทาย กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ด้วยประเด็นฮิตประจำวัน เพราะหุ้น TMC ของเขาก็เป็น "ว่าที่..หุ้นน้องใหม่" ในตลาดหลักทรัพย์ mai ได้ฤกษ์เข้าซื้อขายในวันที่ 26 ตุลาคม 2555 ที่จะถึงนี้

บิซวีค เปรยว่า หุ้น TMC เข้าซื้อขายวันแรก ราคาหุ้นน่าจะไปได้สวย เขาตอบว่า "ผมก็หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น" หุ้นของเขาจำนวน 85 ล้านหุ้น เคาะราคาไอพีโอ 3.90 บาท มีส่วนลดให้กับนักลงทุนผู้จองซื้อ 25% เมื่อเทียบกับ ค่าพี/อี เรโช ของตลาดหลักทรัพย์ mai ในช่วง 3 เดือน เป็นเทคนิคที่ "ที่ปรึกษาทางการเงิน" ทุกรายชอบใช้ในการ "ปั่นกระแส" หุ้นไอพีโอให้ร้อนแรงหลังเข้าตลาดวันแรก

ฮงรำลึกชีวิตวัยเด็กให้ฟังว่า ครอบครัวเป็นคนจีนเป็นลูกชายคนโต เกิดมาก็วิ่งเล่นอยู่ในโรงกลึงชื่อ ทวีมิตรการช่าง” (ทวีมิตร คือ ชื่อบิดา) กับพี่น้อง 4 คน พ่อยึดอาชีพโรงกลึงได้ 2 ปี ก็เปลี่ยนไปทำเครื่องจักรไฮดรอลิกประเภทเครื่องเพรสขนาดเล็ก ระบบ Manual ตอนนั้นเมืองไทยยังไม่มีใครทำ ส่วนใหญ่จะนำเข้ามาขายจากต่างประเทศ พูดพลางโชว์รูปเครื่องจักรสมัยโบราณให้ดู

วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2555

'ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ' วิเคราะห์หุ้น 'รวย'! จากบการเงิน




อยากเล่นหุ้นได้กำไรต้องอ่านงบการเงินให้ 'ขาดกระจุย' ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้น VI เจ้าของพอร์ต 'เลข 9หลัก'
ฉัตรชัย วงแก้วเจริญ เซียนหุ้นวีไอ วัย 44 ปี เป็นที่ร่ำลือว่ามีความสามารถในการ "ถอดงบการเงิน" เป็นเลิศ เขามีข้อได้เปรียบตรงที่ว่าเคยผ่านงานธนาคารต้องวิเคราะห์สินเชื่อลูกค้าว่ามีกำลังผ่อนชำระคืนแบงก์ได้หรือไม่ เขานำประสบการณ์ตรงนั้นบวกกับความรู้ที่ร่ำเรียนมาวิเคราะห์งบการเงินของบริษัทในอนาคต 3-5 ปีข้างหน้า ความสามารถนี้เองที่ทำให้เขาสร้างผลตอบแทนในตลาดหุ้นได้อย่างงดงาม

เขาเล่าว่า หลังจากค้นพบแนวทางของตัวเอง การเล่นหุ้นก็เริ่มได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ ในอดีตเคยมีประสบการณ์ "ถือหุ้นตัวเดียว" นานถึง 8 ปี คือ หุ้นไว้ท์กรุ๊ป (WG) โดยใช้ซื้อภรรยา (มยุรี วงแก้วเจริญ) ซื้อตอนปี 2544 เหตุผลที่ชอบหุ้นตัวนี้ เพราะมีกระแสเงินสดดี ซื้อหุ้น WG มาในราคา 13-14 บาท ขายไปตอนราคา 60 บาท (ปัจจุบันราคา 81-82 บาท) เพื่อไปซื้อหุ้นตัวอื่นที่คิดว่าดีกว่า เฉพาะเงินปันผลอย่างเดียวก็ "คืนทุน" หมดแล้ว ปีแรกๆ ซื้อราคา 13 บาท ปันผล 1 บาท ซึ่งปันผลของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้นทุกปี จนปีหลังๆ จ่ายปันผลสูงถึงหุ้นละ 4 บาท
นอกจากกระแสเงินสดดีแล้วหุ้นตัวนี้ผลประกอบการเติบโตสม่ำเสมอ เนื่องจากไว้ท์กรุ๊ปมีสูตรเคมีภัณฑ์เฉพาะเป็นของตัวเอง ลูกค้าอยากได้แบบไหนบริษัททำได้หมด ทำให้มีความสามารถในการแข่งขันดีมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง ที่สำคัญสมัยก่อนบริษัทนี้ ยังมีธุรกิจอื่นเสริมโดยเฉพาะธุรกิจโกดังให้ลูกค้าเช่าเป็นคลังสินค้า และมีสำนักงานให้เช่าแถวเอกมัย ทำให้เขามีกระแสเงินสด และมีมาร์จิ้นที่ดีขึ้น เพราะตึกมันลงทุนไปแล้วสามารถรับรู้รายได้ค่าเช่าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งธุรกิจทั้งหมดทำให้ไว้ท์กรุ๊ป มีกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่เก็บหุ้น WG บริษัทนี้ยังไม่มีใครรู้จัก
ความแตกต่างจากเซียนหุ้นทั่วไป ฉัตรชัยจะทุ่มเงินลงทุนทั้งหมดในหุ้นที่เขามั่นใจเพียงไม่กี่ตัว เรียกว่า "จัดเต็ม" แบบไม่กลัวเสี่ยง..ถ้าเขามั่นใจ ปัจจุบันเขาถือหุ้นเพียงแค่ 2 ตัว โดยหุ้นตัวแรกถือ 90% ของพอร์ต อีกตัวถือ 10% ของพอร์ต
"ผมลงทุนไม่เหมือนคนอื่นเป็นคนซื้อหุ้นยากมาก ในรอบ 10 กว่าปีมานี้ถือหุ้นไม่กี่ตัว คนอื่นเขาเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาแต่ผมจะถือหุ้นไปจนกว่าจะถึงเกณฑ์ที่ตั้งเอาไว้ ในอดีตเคยถือหุ้นมากที่สุดแค่ 4 หุ้น ผมมันพวก สเปกเยอะถ้ามั่นใจตัวไหนผม จัดเต็มอย่างตอนนี้มีหุ้นอยู่ในมือแค่ 2 ตัว ใครเป็นมาร์เก็ตติ้งผมไม่ค่อยได้ค่าคอมมิชชั่นเท่าไร"
แม้ฉัตรชัยจะไม่ยอมเปิดเผยรายชื่อหุ้นที่ซื้อ แต่จากการตรวจสอบของกรุงเทพธุรกิจ BizWeek พบชื่อ มยุรี วงแก้วเจริญ ภรรยาของ ฉัตรชัย ถือหุ้น ซิงเกอร์ประเทศไทย (SINGER) 6,801,000 หุ้น สัดส่วน 2.52% และหุ้น แมนดารินโฮเต็ล (MANRIN) จำนวน 500,000 หุ้น สัดส่วน 1.86% ปัจจุบันมีมูลค่ารวมประมาณ 130 ล้านบาท
ทำไม! ถึงซื้อหุ้น 2 ตัวนี้ เซียนหุ้นร้อยล้าน บอกเพียงว่า ตัวที่โฟกัส 90% ของพอร์ตอยู่กลุ่ม Commerce บริษัทไม่มีคู่แข่ง ทำธุรกิจสบายๆ ผู้บริหารเก่ง (บุญยง ตันสกุล) ถือหุ้นตัวนี้มานาน 2-3 ปีแล้ว ตอนนี้เขาโตเร็วมาก และยังมีช่องจะเติบโตเพื่อกินมาร์เก็ตแชร์เจ้าอื่นด้วย สมัยก่อนบริษัทนี้เคยผิดพลาดทำให้เขาล้ม ตอนนี้กำลังจะกลับมาบุกตลาดอีกครั้ง จากการวิเคราะห์งบการเงินในช่วง 3 ปีข้างหน้า มั่นใจว่าบริษัทนี้จะขยายตัวสม่ำเสมอทุกปี

วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

8 สุดยอดหนังสือ ที่นักลงทุน...ต้องอ่าน


หากคุณผู้อ่านเป็นนักลงทุนอยู่แล้ว..หรือคิดที่จะเริ่มต้นเป็นนักลงทุน คุณผู้อ่านก็ไม่ควรพลาดอ่านหนังสือ 8 เล่ม

ที่บรรดานักวิจารณ์ทั้งไทยเทศหลายท่านได้ให้ความเห็นว่าเป็นหนังสือที่นักลงทุน..ต้องอ่าน โดยมีรายละเอียดดังนี้ครับ
 
หนึ่ง “Security Analysis” (1934)  โดย Benjamin Graham และ David Dodd
 


หนังสือเล่มนี้ถือได้ว่าเป็นหนังสืออมตะของบรรดานักลงทุนทั่วโลก  และยังถือได้ว่าเป็นคัมภีร์ไบเบิลสำหรับวงการนักลงทุน ซึ่งเขียนโดยกูรูการลงทุนทั้งสองท่าน  Benjamin Graham เป็นนักลงทุนและเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ Columbia University และเป็นอาจารย์ของ Warren Buffett ด้วย ส่วน David Dodd ก็เป็นอาจารย์และเพื่อนร่วมงานของ Graham โดยหนังสือได้ให้ความคิดที่ว่านักลงทุนตัวจริงจะต้องมีสัญชาตญาณของ นักสืบมากกว่า นักสถิติหนังสือเล่มนี้เขียนขึ้นเพื่อช่วยแนะนำแนวทางในการลงทุน หลังจากเกิดมหาวิกฤติเศรษฐกิจของโลกซึ่งมีต้นเหตุมาจากการเก็งกำไรครั้งใหญ่ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก

สอง “The Intelligent Investor” (1949) โดย Benjamin Graham
 



หนังสือเล่มนี้ได้รับการยกย่องจาก วอร์เรน บัฟเฟตต์ ให้เป็นหนังสือที่ดีที่สุดทางด้านการลงทุน และ Benjamin Graham ก็ได้รับการยกย่องให้เป็น บิดาแห่งการลงทุนหนังสือได้แนะนำเทคนิคในการค้นหาราคาหุ้นที่แท้จริง (Intrinsic Value) ของหุ้นนั้นๆ หากราคาหุ้นตกลงมาต่ำกว่าราคาหุ้นที่แท้จริงอย่างมีนัยสำคัญแล้ว ก็จะเป็นโอกาสอันงามของนักลงทุนที่จะเข้าไปเก็บหุ้นดังกล่าว 
 

Panic



นักลงทุนที่อยู่ในตลาดหุ้นมานานสิ่งหนึ่ง ที่เขาจะต้องพบคือ ตลาดหุ้นเกิด "Panic" ซึ่งถ้าแปลตรงตัว คือ ตลาดหุ้นเกิดอาการ "ตกใจกลัว"
หรือ "อกสั่นขวัญหาย" เป็นอาการที่ราคาหุ้นทั้งตลาด หรือหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรม หรือหุ้นตัวใดตัวหนึ่งตกลงมาอย่างหนักในระยะเวลาอันสั้น เช่น ภายในวันเดียวดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาถึง 5% หรือถึง 10% และทำให้ตลาดหุ้นต้องพักการซื้อขายเพื่อให้คน "หายตกใจ" และมีเวลาพินิจพิจารณาว่าราคาหุ้นนั้นเหมาะสมกับมูลค่าที่แท้จริงหรือไม่ และนักลงทุนควรที่จะขายหรือจะซื้อ โดยอิงจากเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ที่เกิดจากจิตวิทยาหมู่
 
Panic ของตลาดหุ้นทุกครั้งนั้น แม้ในระยะสั้นๆ สิ่งที่เหมือนกันคือ ดัชนีตลาดหุ้นตกลงมาอย่างแรงและรวดเร็ว แต่สาเหตุมักจะแตกต่างกันออกไป  และที่สำคัญคือ การปรับตัวของดัชนีหลังจากนั้น อาจจะแตกต่างกันมาก   
 
ลองมาดูธรรมชาติของ Panic แต่ละแบบว่าเป็นอย่างไร การเรียนรู้นี้จะช่วยทำให้เราสามารถเอาตัวรอด "หนีตาย" ได้ทัน หรือไม่ก็อาจจะทำกำไรได้งดงามอย่างไม่น่าเชื่อ โดยเฉพาะกรณีที่ราคาหุ้นปรับตัวกลับขึ้นไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น
 
Panic แบบแรกคือสิ่งที่เรียกว่า "Panic เก๊" นี่คือ Panic ที่เกิดจากสาเหตุ หรือเหตุการณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับพื้นฐานของการดำเนินงานของตลาด หรือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน พูดอีกทางหนึ่งคือ ไม่ได้กระทบกับเศรษฐกิจ หรือกระทบน้อยมาก แต่อาจเกี่ยวกับเรื่องการเมืองการปกครอง ซึ่งอาจรวมถึงความวิตกเรื่องสงคราม หรือความรุนแรงทางสังคมที่ทำให้คน "ตกใจ" และอาจจะ "จินตนาการ" ไปไกล และเทขายหุ้นโดยไม่คิดถึงพื้นฐานที่แท้จริงของกิจการและตลาดหุ้นโดยรวม   
 
จริงอยู่ นักลงทุนส่วนหนึ่ง อาจจะเป็นคนส่วนใหญ่ด้วยซ้ำที่อาจจะ "ไม่กลัว" แต่พวกเขาคิดว่า ถ้าคนอื่นกลัวและขายหุ้นอย่างหนัก หุ้นต้องลงแรง ดังนั้น พวกเขาจำเป็นต้องรีบขายหุ้นก่อนเหมือนกัน ผลคือ ตลาดก็ "ถล่ม" กลายเป็น Panic ที่ "เก๊" เมื่อหุ้นตกลงไปมากพอ คนที่มีเหตุผลและคนที่หายตกใจแล้วกลับมาซื้อหุ้นที่มีราคาถูก "คุ้มค่า" ส่งผลให้ราคาหุ้นวิ่งกลับอย่างรวดเร็ว บางทีสูงกว่าตอนก่อน Panic ด้วยซ้ำ
 
ตัวอย่างของ Panic เก๊ มีมากมาย บางทีมากกว่า Panic จริงด้วยซ้ำ เช่น ในอเมริกา เวลาประธานาธิบดีตาย หรืออาจป่วยรุนแรงเป็นตายเท่ากัน ราคาหุ้นจะดิ่งเป็น Panic แต่ทุกครั้งจะปรับตัวกลับรวดเร็ว เพราะเรื่องแบบนี้เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจน้อย ตัวอย่างเช่น ตอนที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอบยิงเสียชีวิต ดัชนีหุ้นตกลงไปถึง 3% ในวันเดียว แต่พอวันรุ่งขึ้น ดัชนีกลับปรับขึ้น 4.5% หลังจากนั้นหุ้นวิ่งต่อ   
 

การกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง (Diversification)




สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล ประเมินว่า ประชากรไทยในปัจจุบันมีโอกาสที่จะมีอายุยืนยาวขึ้น เนื่องจากความก้าวหน้าทางการแพทย์และสาธารณสุข โดยปัจจุบันประชากรไทยมีอายุขัยเฉลี่ยที่ 73 ปี และคาดว่าอีก 10 ปีข้างหน้าจะมีอายุเฉลี่ยเพิ่มขึ้นเป็น 80 ปี
       
       คำถามที่ตามมาก็คือ บุคคลที่อยู่ในช่วงวัยใกล้เกษียณคือ 50 ปีขึ้นไปซึ่งมักจะฝากเงินและลงทุนในพันธบัตรกับตราสารหนี้อย่างเดียวนั้น ต่อไปนี้จะลงทุนอย่างไรภายใต้ภาวะดอกเบี้ยต่ำอย่างทุกวันนี้ เพื่อให้เงินงอกเงยเพียงพอกับการใช้จ่ายในอนาคต และจะทำอย่างไรอำนาจของเงินที่สะสมไว้ใช้ในวัยเกษียณแล้วถึงจะไม่ถูกลิดรอนด้วยภาวะเงินเฟ้อ เพราะหากจะทำแบบเดิมคือฝากเงินและลงทุนในพันธบัตรกับตราสารหนี้เท่านั้น อัตราดอกเบี้ยก็มีทีท่าว่าจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกยาวนาน และยังจะพบกับภาวะเงินเฟ้อซึ่งเป็นผลมาจากการอัดฉีดเงินของธนาคารกลางต่างๆ เข้าไปในระบบ (QE) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ยังต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นเพราะการรับประกันเงินฝากเต็มจำนวนจะลดเหลือแค่ 1 ล้านบาท ในช่วงปลายปี 2559 อีกด้วย
       
       การกระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง (Portfolio Diversification) และเพิ่มโอกาสในการได้รับผลตอบแทนที่ดีขึ้นคือคำตอบ นั่นคือควรแบ่งเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ บ้าง แทนที่จะฝากเงินและลงทุนในตราสารหนี้กับพันธบัตรเพียงกลุ่มเดียว
       
       แล้วจะให้พิจารณาแบ่งเงินไปลงทุนในอะไร ?
  
       คำตอบแรกคือ หุ้นเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าพิจารณาลงทุนเอาไว้บ้าง 
       
       เพราะแม้จะมีความผันผวนไม่แน่นอนในระยะสั้นจากผลกระทบของปัญหาในยุโรปและสหรัฐอเมริกา แต่หุ้นไทยยังคงมีแนวโน้มที่ดีตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่ยังสามารถขยายตัวได้ต่อเนื่อง จากการบริโภคในประเทศที่ยังเติบโตได้ดีเ นื่องจากภาครัฐมีการใช้จ่ายและจะมีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ รวมถึงรายได้ขั้นต่ำที่จะเพิ่มขึ้นซึ่งจะทำให้มีกำลังซื้อมากขึ้น นอกจากนี้ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ก็จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวจากการรวมกัน ทั้งในแง่ของการลงทุน การบริโภค และการเดินทางของ 10 ประเทศที่มีประชากรรวมกันกว่า 590 ล้านคน และมี GDP รวมกันราว 1.8 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ อีกทั้งการเกิด Asean Trading Link ก็จะเชื่อมโยงตลาดทุนในอาเซียนเข้าด้วยกัน
       
      ที่ระบุข้างต้นทั้งหมดนั้น จะเป็นปัจจัยเชิงบวกที่ช่วยผลักดันการเติบโตของตลาดทุนหรือหุ้นในระยะยาว
       
       นอกจากหุ้นแล้ว เรายังมีทองคำเป็นคำตอบที่สองให้พิจารณาแบ่งเงินไปลงทุน 
       
       การลงทุนในทองคำนั้น นอกจากจะช่วยรักษาอำนาจซื้อหรือทำให้สู้กับเงินเฟ้อได้แล้ว ยังเปรียบได้กับการลงทุนในสกุลเงินหนึ่งซึ่งมีผลผลิตจำกัด โดยทองคำจะได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของสกุลเงินหลักต่างๆ จากภาวะสงครามค่าเงินในปัจจุบันที่ธนาคารกลางต่างๆ พยายามอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบเพื่อกดดันค่าเงินของตนให้อ่อนลงเพื่อประโยชน์ในการส่งออก
       
       ควรกระจายการลงทุนไปในสินค้าเกษตรหรือน้ำมันด้วยหรือไม่ ?
      

NAV สูง กองทุนแพงจริงหรือ??


          หลายครั้งมักได้ยินคำปฏิเสธการลงทุนว่า ไม่กล้าซื้อกองทุนเพราะ NAV มันขึ้นมาสูงมากแล้ว เพราะเข้าใจว่าราคา NAV ก็เหมือนราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อขึ้นมามากๆ ก็สูงเกินกว่าราคาพื้นฐานไปแล้ว และราคา NAV ก็ไม่มีนักวิเคราะห์คอยบอกเหมือนราคาหุ้นเสียด้วยว่า ราคาสูงหรือต่ำกว่าราคาปัจจัยพื้นฐาน

       
       ในข้อเท็จจริง ราคาหุ้นและราคา NAV แตกต่างกันอย่างชัดเจน ราคาหุ้นในตลาดฯ คือราคาของกิจการ ที่แสดงผ่านพฤติกรรมการซื้อขายของนักลงทุนในตลาดหุ้น ส่วนราคาหุ้นที่ให้โดยนักวิเคราะห์ นักลงทุน ก็เพื่อบอกว่าหุ้นนั้นราคาในกระดานสมเหตุสมผล แพงไป หรือถูกไป การจะประเมินว่าราคานี้เหมาะสมหรือไม่ สูงหรือต่ำไปของนักวิเคราะห์ ก็จะประเมินดูจากความสามารถและโอกาสแสวงหากำไรของกิจการในอนาคต ดูจากกำลังการผลิต ยอดขาย การบริหารค่าใช้จ่าย ฯลฯ ในขณะนั้นๆ หรือในอีก 1-2 ปีข้างหน้า ซึ่งก็มีข้อจำกัด เช่น เมื่อโรงงานทำการผลิตเต็มกำลังแล้ว ยอดขายจะเพิ่มขึ้นได้ก็ต้องลงทุน ขยายโรงงานเพิ่มเสียก่อน เป็นต้น ดังนั้นราคาหุ้นแต่ละตัว จึงมีราคาเหมาะสมของมัน แต่ราคาที่เหมาะสมของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันได้
       
       ขณะที่ราคา NAV คือราคาของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิรวมของกองทุนหารด้วยจำนวนหน่วย กำหนดเป็นราคา NAV ต่อหน่วย หรือเรียกกันย่อๆ ว่าราคา NAV โดยการคำนวณมูลค่าทรัพย์สินสุทธิก็จะใช้ราคาตลาด ณ ปัจจุบัน ของทรัพย์สินหรือตราสารที่กองทุนลงทุนอยู่ในการคำนวณ จะมียกเว้นบ้าง เช่นกรณีราคาตราสารหนี้ที่ใกล้ครบอายุ หรือกรณีตราสารหนี้ที่ราคาตลาดไม่ค่อยเคลื่อนไหว ก็ให้ใช้ราคาล่าสุด หรือราคาอื่นใดที่ยอมรับให้ใช้ได้
       
       ยกตัวอย่างกองทุนหุ้นแบบคร่าวๆ กองทุนหุ้นจะมีหุ้นหลายๆ ตัวอยู่ในพอร์ต ก็จะมีการคำนวณมูลค่าหุ้นที่กองทุนถืออยู่ทุกตัว โดยใช้ราคาตลาดของหุ้นทุกตัวตอนสิ้นวันคูณด้วยจำนวนหุ้นที่มี รวมกับมูลค่าตราสารหนี้ เงินฝาก รายได้ค้างรับ เงินสด ฯลฯ ที่อยู่ในพอร์ต ณ สิ้นวัน ลบด้วยหนี้สิน เช่น ค่าใช้จ่ายค้างจ่ายต่างๆ แล้วหารด้วยจำนวนหน่วยลงทุนในวันนั้นแล้วประกาศออกมาเป็นราคา NAV
       
       แม้จะใช้ราคาตลาดของหุ้นในการคำนวณเหมือนกัน แต่อย่าลืมว่าผู้จัดการกองทุนสามารถซื้อขาย เปลี่ยนแปลงหุ้นในพอร์ตได้เรื่อยๆ เมื่อเห็นว่าหุ้นตัวใดมีมูลค่าสูงเกินไป เขาก็ขายออกแล้วเปลี่ยนถือหุ้นตัวใหม่ มูลค่า NAV ที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จึงไม่ได้บอกว่าราคา NAV แพงเกินไป แต่เป็นตัวเลขที่มาจากการสะสมผลกำไรของกองทุนตั้งแต่จัดตั้งกองทุน แสดงถึงผลประกอบการในอดีต เช่น กองทุนบัวหลวงหุ้นระยะยาว ที่มีราคา NAV วันที่ 12 ตุลาคม 2555 เท่ากับ 29.8144 บาท หรือ กองทุนบัวหลวงตราสารทุนเพื่อการเลี้ยงชีพ ที่มี NAV ในวันเดียวกันเท่ากับ 69.9358 บาท เป็นต้น
       
       และสำหรับความคิดว่ากองทุนที่ NAV ราคาต่ำกว่า หรือราคาเปิด IPO ที่ 10 บาท ดีกว่ากองทุนที่ราคา NAV สูงๆ เพราะลงทุนแล้วจะได้จำนวนหน่วยลงทุนที่มากกว่าก็เป็นความเข้าใจผิดเช่นกัน เพราะการจะบอกว่าใครดีกว่าแย่กว่า เป็นเรื่องของผลประกอบการในอนาคต จำนวนหน่วยลงทุนที่ได้รับน้อยกว่าไม่ได้หมายถึงกำไรที่จะได้น้อยกว่าแต่อย่างใด
       
       หากกองทุนที่เลือกมีนโยบายการลงทุนเหมือนๆ กัน ไม่ว่าราคา NAV วันที่ซื้อจะเป็นเท่าใด กำไรขาดทุนที่ผู้ลงทุนจะได้รับ ก็จะไม่แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ไม่เชื่อ ลองดูตารางเปรียบเทียบผลประกอบการจากการลงทุนในกลุ่มที่มีนโยบายการลงทุนใกล้เคียงกันของกองทุนบัวหลวง ปี 2555 ตั้งแต่ต้นปีถึง 12 ตุลาคม 55 เป็นตัวอย่าง โดยสมมุติว่ามีการลงทุนในวันที่ 30 ธ.ค. 54 จำนวน 100,000 บาท



คอลัมน์บัวหลวง Money Tips
โดยเสกสรร โตวิวัฒน์
บลจ.บัวหลวง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 ตุลาคม 2555
bit.ly/RjAWyp

วันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2555

หุ้น “เติบโต” หรือ “ติดดิน”


หุ้น “เติบโต” หรือ “ติดดิน” - วิธีวิเคราะห์ Growth Stock แบบหลายมิติ
โดย: Road to Billion

หุ้นที่มีกำไรเติบโต (Growth Stock) นับว่าเป็นหุ้นที่ทำกำไรให้กับนักลงทุนดีที่สุดประเภทนึง เพราะหุ้นกลุ่มนี้นอกจากจะมีกำไรที่เติบโตขึ้นรวดเร็วแล้ว ตลาดมักจะให้ราคาหุ้นประเภทนี้สูงกว่าตลาดด้วย อย่างไรก็ตาม ก็ใช่ว่าทุก Growth Stock จะดีเหมือนกันทุกบริษัท หลายบริษัทที่ตอนแรกๆอาจจะดูเหมือนเป็น “หุ้นเติบโต” แต่พอเวลาผ่านไปกลับกลายเป็น “หุ้นติดดิน”

คำถามที่นักลงทุนทุกคนควรจะต้องถามคือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่า Growth Stock ตัวไหนจะสามารถเติบโต “ได้จริง” อย่างมีคุณภาพ

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจถึงประเภทของการเติบโตก่อน ผมขอจับไว้เป็นคู่ๆเพื่อให้เข้าใจง่ายแล้วกันครับ

Volume Growth vs. Price Growth

ในบางธุรกิจที่มีอำนาจในการต่อรองราคาของบริษัทต่อลูกค้าสูง (High Negotiating Power) จะสามารถปรับราคาสินค้าขึ้นได้ทุกปี ตัวอย่างเช่นกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาล ร้านสะดวกซื้อ การเติบโตจากการเพิ่มขึ้นของ “ราคา” สามารถทำได้ง่ายกว่าการเติบโตของ “ปริมาณการขาย” มากเพราะแทบจะไม่มีต้นทุนเพ่ิมขึ้นเลย ในขณะที่การขยายกำลังการผลิตหรือการให้บริการต้องมีการลงทุนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังมีความเสี่ยงในการที่จะต้องหาลูกค้าเพิ่มขึ้นเพื่อมาซื้อสินค้่า

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ความเชื่อที่อันตรายของ VI



VI จำนวนไม่น้อยที่ผมได้พบเห็น โดยเฉพาะตามเว็บไซต์ต่างๆ มักมีศรัทธา หรือความเชื่อที่ยึดมั่นใน "แนวทาง VI" อย่างมั่นคง
จนผมรู้สึกว่า "มากเกินไป" ส่วนหนึ่งของความเชื่อนี้ อาจเป็นเพราะ "ความสำเร็จของ VI" ทั้งในระดับโลกอย่าง วอร์เร็น บัฟเฟตต์ และปีเตอร์ ลินช์ และ "เซียน VI ไทย" จำนวนมากในช่วงเร็วๆ นี้  ที่เสนอแนวทางแบบ VI อย่างกว้างขวางและภาคภูมิ จนทำให้แนวทางอื่นในเรื่องการลงทุนกลายเป็นเรื่องที่อาจไร้สาระ หรือตลกในสายตาของ VI ที่ติดตามศึกษาทฤษฎี VI อย่างเข้มข้น และมีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงมาก  
แน่นอน ความเชื่อเหล่านี้ เป็นสิ่งดีที่จะยึดเหนี่ยวจิตใจไม่ให้เราไขว้เขวไปจากแนวทางที่ถูกต้อง แต่ถ้ายึดมั่นเกินไป บางครั้งอาจเป็นอันตรายเหมือนกัน เพราะจะไม่ยืดหยุ่น และถ้าเกิดความผิดพลาด ความเสียหายจะมากกว่าปกติ ลองดูว่าความเชื่อ หรือศรัทธาเรื่องไหนที่ผมเห็นว่าเราต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เรื่องแรกคือ เชื่อว่าเราสามารถคำนวณ Intrinsic Value หรือมูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้แม่นยำ และผิดพลาดมากในระดับทศนิยม และถ้าราคาหุ้นต่ำกว่านั้นมาก ทำให้เรามี  Margin Of Safety (MOS) มากพอ เราก็จะซื้อหรือถือหุ้นไว้ไม่ว่าสถานการณ์ตลาดจะเป็นอย่างไร หลายคนพร้อม "ตีแตก" ถ้า  MOS  สูงลิ่ว
 

ประเด็นคือ มูลค่าที่แท้จริง ถ้าจะคำนวณจริงๆ ต้องมีสมมุติฐานสำคัญคือ ต้องรู้ว่ากำไรของบริษัทในอนาคตระยะยาวมากเป็นอย่างไร เงินสดหรือปันผลที่เราจะได้เท่าไร และจะโตอย่างไร นอกจากนั้น ต้องรู้ถึงต้นทุนของเงินทุนในตลาดด้วย ทั้งหมดนั้น ถ้าเปลี่ยนแปลงผิดจากที่คาดไว้ แม้เพียงเล็กน้อย มูลค่าที่แท้จริงของหุ้นก็จะเปลี่ยนแปลงไปมากมาย  
 

หลายคนอาจใช้สูตรง่ายๆ แบบหยาบๆ เช่น ใช้ค่า PE ว่า กิจการควรมีค่า PE 15 เท่า ถ้ารู้ว่ากำไรปีนี้จะเป็นเท่าไร ก็หามูลค่าที่แท้จริงของหุ้นได้ แต่นี่ไม่ใช่มูลค่าที่แท้จริงแน่ๆ ยกเว้นว่า กำไรของบริษัทปีต่อๆ ไปอีกยาวนาน ในอนาคตไม่ลดลง และค่า PE ยังเป็น 15 เท่า ไม่ใช่ 7 เท่า 

'กวี-เผดิมภพ' 'บัฟเฟตต์' สไตล์ กับ 'จอร์จ โซรอส' สไตล์



แม้ต่างแนวทาง..ต่างความคิด แต่เป้าหมายเดียวกันคือ 'สร้างความมั่งคั่ง' สองนักวิเคราะห์ดัง 'กวี ชูกิจเกษม' ควง 'เผดิมภพ สงเคราะห์' เปลือยสไตล์การลงทุนส่วนตัวอย่างหมดเปลือก..คนหนึ่ง 'วีไอ' จ๋า! อีกคน 'โมเมนตัม อินเวสเตอร์'
แนะนำการเล่นหุ้นให้คนอื่นมานับไม่ถ้วน กวี ชูกิจเกษม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย และ เผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผู้จัดการ สายงานจัดการเงินทุนบุคคล บล.กสิกรไทย เจ้าตัวแทบไม่เคยเผยสไตล์การลงทุนส่วนตัวให้ใครรู้ คนหนึ่งมีไอดอลคือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ส่วนอีกคนยึด จอร์จ โซรอส เป็นแนวทางสร้างความร่ำรวย
ทั้งสองคนได้ชื่อว่าเป็นนักวิเคราะห์ดังระดับ "แม่เหล็ก" มีแฟนคลับติดตามคำแนะนำจำนวนมาก เบื้องหลังของ กวี และเผดิมภพ ต่างก็เป็นนักลงทุนคนหนึ่งในตลาดหุ้นที่มีสไตล์การลงทุนเป็นตัวของตัวเอง คนหนึ่ง "บู้" อีกคน "บุ๋น" น้อยคนนักที่จะรู้ตัวตนและเป้าหมายที่แท้จริงของเขาทั้งสอง
ผมตั้งใจว่าเมื่ออายุ 80-90 ปี จะต้องมีเงิน "แสนล้านบาท" ถ้าอยู่ไม่ถึงทายาทก็ต้องทำต่อให้ถึง!!กวี ชูกิจเกษม หรือที่เพื่อนๆ เรียกชื่อเล่นว่า วีเล่าเป้าหมายส่วนตัวให้ทีมข่าวกรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟัง ณ ห้องค้าหุ้น บล.กสิกรไทย สำนักพหลโยธิน

"วี" นักวิเคราะห์ชื่อดัง เล่าว่า ตัวเองเป็น "แวลู อินเวสเตอร์" (วีไอ) มี วอร์เรน บัฟเฟตต์ เป็นต้นแบบ ส่วนตัวชอบฟังเพลงป๊อปสบายๆ ใช้ชีวิตที่สมถะเรียบง่าย เพียงแต่การทำงานในสายงานนักกลยุทธ์ที่ บล.กสิกรไทย ทำให้ต้องติดตามข่าวสารตลอดเวลา

ส่วนตัวผมชอบลงทุนระยะยาว หุ้นบางตัวถือมา 5 ปี ไม่เคยขาย บางตัว 15 ปีแล้วก็ยังอยู่! พื้นฐานหุ้นเปลี่ยนถึงจะขายกวี เล่า

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

เล่นหุ้นตามกระแส



เมื่อประมาณ 30 ปีมาแล้ว ช่วงที่ผมเรียนปริญญาเอกด้านการเงิน ที่เกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น ทฤษฎีที่มาแรงที่สุดในขณะนั้น

คือ Efficient Market Hypothesis หรือทฤษฎี "ตลาดที่มีประสิทธิภาพ" ซึ่งบอกว่า ราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่ในตลาดทุกตัว เป็นราคาที่เหมาะสมอยู่แล้ว ไม่มีตัวไหนถูกหรือแพง หุ้นตัวไหนจะขึ้นหรือลงในวันพรุ่งนี้ หรือเดือนหน้าเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้
 
ในระยะยาวแล้ว หุ้นโดยเฉลี่ยจะโตไปตามตลาด ซึ่งอาจจะให้ผลตอบแทนรวมปีละ 10% โดยเฉลี่ย ดังนั้นการใช้ข้อมูลอะไรมาวิเคราะห์พิจารณาเลือกซื้อหุ้น จึงไม่มีประโยชน์ โดยเฉพาะการดูข้อมูลราคา และปริมาณการซื้อขายหุ้นอย่างที่นักวิเคราะห์ทางเทคนิคใช้ เช่น แนวรับ แนวต้าน ข้อมูลกราฟราคาหุ้นย้อนหลัง 90 วัน 270 วัน หรือเส้นกราฟที่เรียกว่า Head and Shoulder ซึ่งนักวิเคราะห์บอกว่า เป็นรูปแบบที่ราคาหุ้นจะวิ่งไปเป็น 3 ช่วงที่เหมือนกับหัวไหล่ข้างซ้าย ศีรษะ  และหัวไหล่ข้างขวา พูดง่ายๆ นักวิเคราะห์ทางเทคนิค เชื่อว่าราคาหุ้นในอดีต สามารถบอกถึงทิศทางราคาหุ้นในอนาคตได้

นักวิชาการที่เชื่อในทฤษฎีตลาดหุ้น ที่มีประสิทธิภาพในขณะนั้น ได้ทดลองใช้ข้อมูลราคาหุ้นย้อนหลังพิสูจน์ และพบว่าราคาหุ้น เคลื่อนไหวไปอย่าง
"ไร้ทิศทาง" ราคาหุ้นในวันนี้ ไม่ได้มีอะไรสัมพันธ์กับราคาหุ้นในวันก่อน เส้นกราฟราคาหุ้น ไม่มีรูปแบบ หรือแบบแผนที่แน่นอน แนวรับแนวต้านต่างๆ ไม่มีจริง ยิ่งรูปแบบที่เป็น "ไหล่ ศีรษะ ไหล่" เป็นเส้นที่เกิดจาก "จินตนาการ" เหมือนกับการดูก้อนเมฆ หรือถ้าเป็นคนไทย อาจเป็นเหมือนการหาตัวเลขจากขี้เถ้าของธูปที่ขดตัวไปมา
 
ว่าที่จริง  มีเรื่องเล่าว่าศาสตราจารย์คนหนึ่ง ลงทุนใช้คอมพิวเตอร์วาดกราฟราคาหุ้นแบบเดาสุ่มออกมา เสร็จแล้วก็หลอกให้นักศึกษาในชั้นเรียนด้านเทคนิควิเคราะห์ว่า "ราคาหุ้นจะไปทางไหน" ซึ่งนักศึกษาต่างใช้เทคนิคต่างๆ วิเคราะห์เป็นตุเป็นตะว่าหุ้นตัวนี้กำลัง "ฟอร์มตัว" อยู่ในช่วงไหนและจะไปอย่างไรทั้งๆ ที่เส้นกราฟนั้น เกิดขึ้นแบบเดาสุ่มจากคอมพิวเตอร์ และนั่นก็เป็นการ "ปิดฉาก" ของการวิเคราะห์แบบเทคนิคที่เคยเฟื่องฟูก่อนหน้านั้น
 

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

หุ้นขั้นเทพ



การวิเคราะห์หุ้น มีปัจจัยที่ต้องพิจารณามากมาย ทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับนักลงทุนบางคน ที่อาจจะมีความรู้เชิงธุรกิจไม่มาก
เพราะอาจไม่ได้เรียนมาทางสายธุรกิจ หรือเพิ่งเข้าสู่ตลาดหุ้นเป็นนักลงทุนมือใหม่ และคงเป็นเหตุผลว่า ทำไมข้อสรุปของหุ้นแต่ละตัว จึงไม่เหมือนกันระหว่างนักลงทุนแต่ละคน  
 

หุ้นตัวหนึ่งนักลงทุนคนหนึ่ง อาจดูว่าดีมากเป็นซูเปอร์สต็อก ในขณะที่อีกคนหนึ่งมองเป็นหุ้นธรรมดาๆ หรือหุ้นตัวหนึ่งนักเล่นหุ้นคนหนึ่งบอกว่า เป็น Growth Stock หรือหุ้นโตเร็ว ขณะที่อีกคนหนึ่งบอกว่า เป็นหุ้นวัฏจักรที่เพียงแต่อยู่ในช่วงขาขึ้น และพร้อมจะลงในอนาคต 

วิธีที่จะดูว่าหุ้น หรือบริษัทที่เราสนใจ น่าจะดีหรือไม่อย่างง่ายๆ คือ หาปัจจัยที่สำคัญมากๆ มาเป็นเครื่องชี้ที่จะบอกว่าเป็นหุ้นดีหรือหุ้นแย่ ตัวอย่างเช่น ถ้าการตลาด หรือยี่ห้อของสินค้าของบริษัทนั้น แข็งแกร่งสุดยอดเหนือกว่าคู่แข่งมาก โอกาสสูงว่าหุ้นของบริษัทน่าจะดี โดยอาจจะไม่ต้องพิจารณาปัจจัยอื่นมากหรือละเอียดนัก เป็นต้น

เครื่องชี้วัดที่สำคัญและวิเคราะห์ได้ง่ายตัวหนึ่ง ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ และนำมาใช้ได้ในหุ้นเกือบทุกตัว คือ ตัวเลขของผลประกอบการ หรือกำไรในอดีต เพราะนี่คือผลงานที่บริษัททำได้มาแล้ว เป็น "ของจริง" ที่เกิดขึ้น และบอกไปถึงอนาคตได้ โดยเฉพาะกำไรที่เกิดขึ้น ถ้าเกิดจากผลการทำงานของบริษัทจริงๆ ไม่ได้เกิดจากภาวะแวดล้อม ที่ทำให้บริษัทกำไรดี พูดง่ายๆ บริษัทไม่ได้กำไรดี เพราะ "โชคดี" แต่บริษัทกำไรดี เพราะบริษัทมีฝีมือดี มีความสามารถเหนือคู่แข่ง
 

ตำราเล่นหุ้น "เสี่ยปู่" "เก่งจริงต้องเห็นโอกาสซื้อ"



เป้าหมายการลงทุนของนักลงทุนต่างก็มีจุดหมายเดียวกันคือ "สร้างกำไร" แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำสำเร็จได้อย่างที่หวังตลอด เพราะระหว่างทางลงทุนมีทั้งกำไรและขาดทุนผสมกันไป บ้างก็สบจังหวะ "ซื้อถูก ขายแพง" บางครั้งก็ "ซื้อแพง ขายถูก" ก็มี แม้แต่นักลงทุนขาใหญ่อย่าง "สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล" เจ้าของฉายา "เสี่ยปู่" ที่มีพอร์ตใหญ่หลักพันล้านบาทขึ้นไปก็ผ่านเส้นทางนี้มาเช่นกัน กว่าจะก้าวมายืนแถวหน้า
ขาใหญ่รายหนึ่งในวันนี้ ที่นักลงทุนรายย่อยต่างจด ๆ จ้อง ๆ ว่าเสี่ยปู่เล่นหุ้นตัวไหนบ้าง เพราะราคามักจะพุ่งทันที เสี่ยปู่ได้เปิดห้องเทรดส่วนตัวที่ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ให้สัมภาษณ์ "ประชาชาติธุรกิจ" ดังนี้
"คนที่ เก่งจริงต้องเห็นโอกาสซื้อก่อนคนอื่น เทคนิคแบบนี้ VI จะคิดเหมือนกันทุกคน โดยจะดูอย่างเดียวคือ แนวโน้มกำไรโตหรือไม่ ราคายังต่ำอยู่ไหม ถ้าใช่ก็ซื้อสะสมแล้วถือยาวไปเลย ซึ่งบางครั้งยอมรับว่า ผมก็ฟลุกเจอหุ้นดี แต่แบบไม่ฟลุกก็คือ ใช้วิธีเข้าไปดูงบการเงิน และคุยกับผู้บริหาร ถ้าพบหุ้นดีที่เจอปัจจัยลบระยะสั้นจนราคาปรับตัวลดลง ผมก็ยังเข้าซื้อต่อ เพราะหากจะลงทุนต้องเน้นมองไปที่อนาคต"
เขาเล่าว่า สไตล์เล่นหุ้นไม่ได้ต่างจากนักลงทุนวีไอ (นักลงทุนหุ้นคุณค่า) ที่มองระยะยาว ซึ่งจะมีทั้งการคัดกรองหุ้นก่อนซื้อ โดยกำหนดคุณสมบัติไว้ดังนี้คือ